วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

ระเบิดรายวัน ความฝันอภิสิทธิ์ สู่เมืองขึ้นจักรวรรดินิยมอังกฤษ


สิ่งที่เราเห็นกัน ได้ยินกัน ในขณะนี้ คือเรื่องระเบิดรายวันในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร สืบเนื่องมาจากการวิเคราะห์กันอย่างต่อเนื่อง ชัยชนะเดียวของรัฐบาลคือการ ประกาศ พรก. ฉุกเฉิน ให้ได้ เพื่อที่จะได้ ปราบปราม ควบคุม ล้อมกรอบผู้ชุมนุม

ทุกคนสงสัยแบบเดียวกัน ว่า ทหารตั้ง 75,000 คน เบิกเบี้ยเลี้ยงวันละ 60 ล้านบาท และรัฐบาลกำลังระดมพลเพิ่มให้ครบ หนึ่งแสนนายนั้น ทำไมยังไม่สามารถป้องกันเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นใน กทม. ได้ซักที ฝ่ายข่วกรองของรัฐ และ กอ.รมน. มุ่งหาข่าวผู้ชุมนุมเป็นหลัก โดยไม่ได้มีการเตรียมฝ่ายข่าวกรองป้องกันผู้ก่อเหตุร้าย หรืออย่างไร

ทำไม ทำไม ทำไม ถามสามครั้งแล้วรัฐบาลก็ตอบไม่ได้ ตรรกะที่น่าเชื่อถือ ณ เวลาปัจจุบัน คงเหลืออยู่ตรรกะเดียว ที่ฟังดู พินิจพิเคราะห์ แล้วมีเหตุผลที่สุด ซึ่งตรรกะนั้นคือ

“ทหาร 75,000 นาย เป็นตัวชี้เป้า ให้ตัวแทนของรัฐบาลอำมาตย์ สร้างเรื่องระเบิดรายวัน กลบข่าวผู้ชุมนุม และเปิดแนวทางนำไปสู่การประกาศ พรก. ฉุกเฉิน ถึงแม้นว่า คนเสื้อแดงจะไม่ก่อความรุนแรง รัฐ ก็ สามารถอ้างเหตุระเบิดรายวัน เพื่อ ประกาศ พรก. ฉุกเฉินได้”

ตรรกะอื่นๆมันฟังดูแล้วมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะก่อให้เกิดเหตุระเบิดรายวันทำนองนี้ วันนี้ คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากเหตุระเบิดรายวันคือรัฐบาลหุ่นเชิด อภิสิทธิชน นั่นเอง ฟังดูแล้วหนักแน่นที่สุด

คนเสื้อแดงเสียประโยชน์อย่างยิ่งจากเหตุระเบิด ไม่ว่าจะเป็นการลดพื้นที่ข่าวบนสื่อต่างๆของตนเอง เป็นการขู่ให้ผู้ชุมนุมไม่กล้าเข้าร่วมชุมนุมเพราะความกลัว และ ท้ายที่สุด อภิสิทธิ หรือ เทพเทือก ก็ ไม่ได้โดนระเบิดตาย ดังนั้น คนเสื้อแดง นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์จากเหตุระเบิดแล้วยัง เสียประโยชน์อย่างมหาศาล ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น

ในขณะที่พฤติกรรมของรัฐบาลที่ผ่านมานั้นชัดเจนว่า เพิ่มงบทหารสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จัดงบลับมากที่สุด ซื้ออาวุธสงครามมากที่สุด ระดมทหารเข้า กทม. มากที่สุด ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องเล็กๆเช่น โยกย้ายทหาร หรือ แม้แต่ จ้างนางแบบนิตยสารปลุกใจเสือป่า ไปกระตุ้นทหารให้เกิดความกระชุ่มกระชวย


ความฝันสมัยเด็กของอภิสิทธิ์ ฝันอยากเป็น นายกรัฐมนตรี ความอยากในสมัยเด็กนั้นเป็นเรื่องไร้เดียงสา ซึ่งตอนเป็นเด็กนั้น คงยังไม่มีความเข้าใจว่า การเป็นนายกนั้นเป็นได้จากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนายกที่ประชาชนเลือกเข้ามา หรือ เป็นนายกที่ยึดเขามา หรือ แย่งเขามา พอเริ่มโต อภิสิทธิ์ ก็ ได้ถูกส่งไปเรียน ที่อังกฤษ โดยได้ซึมซับความเป็นคนอังกฤษเต็มตัว ความเป็นผู้ดีอังกฤษหน้าไหว้หลังหลอกที่เขา ภูมิใจชูคออยู่ทุกวันนี้

ความรุ่งเรืองของจักรวรรดิอังกฤษ หรือ อำนาจเหนืออาณานิคมของสหราชอาณาจักรอังกฤษนั้น ได้ซึมซับอยู่ในสายเลือดของนายอภิสิทธิ์มาตั้งแต่รุ่น ปู่ รุ่นพ่อ จนถึงรุ่นตนเอง

ในสมัยราชการที่ 6 นั้น อังกฤษ ได้ อาณานิคมเป็น พม่า และ มาลายา ในปี พ.ศ. 2456 ซึ่งก่อนหน้านั้น ได้ สิงคโปร์ ไปแล้ว ปู่ของคุณ อภิสิทธิ์ ได้รับพระราชทานนามสกุล ในปี พ.ศ. 2462 และ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระบำราศนราดูร และต่อมา ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 2 สมัย ในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์และจอมพลถนอม กิตติขจร


ในสมัยของคุณ ปู่นั้น อังกฤษมีอิทธิพล และผลประโยชน์สูง ดังนั้นพ่อของ อภิสิทธิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายกราชบัณฑิตยสถาน และ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล
ได้ถูกส่งไปเรียน ที่อังกฤษ ตั้งแต่เด็ก

และในที่สุด อภิสิทธิ์เองก็ถูกส่งไปเกิดที่อังกฤษ

ความภูมิใจในชนชาติอังกฤษ และ ความรุ่งโรจน์ ของจักรวรรดิอังกฤษนั้น ได้ชื่อว่าเป็นจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่มีวันตก บนโลกใบนี้ ประกอบกับ คนไทยตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 กลุ่มหนึ่ง ได้มีความเชื่อสืบทอดกันมาว่า ประเทศสยาม หรือ ประเทศไทยควรจะเป็นเมืองขึ้น หรือ เป็นเมืองอาณานิคม ภายใต้การดูแล ของจักรวรรดิอังกฤษ เพื่อที่จะได้นำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ซึ่งความเชื่อเช่นนั้นยังคงตกทอดมาถึงปัจจุบัน ดังเช่นที่เราได้ยิน กันบ่อยๆว่า เมืองไทยน่าจะได้เป็นอาณานิคม จะได้พัฒนา เหมือน ฮ่องกง เหมือน สิงคโปร์ เป็นต้น

ความภูมิใจในความเป็นอังกฤษตรางู ของอภิสิทธิ์นั้นสูงส่ง เห็นได้จากพฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมกัน ส่วนใหญ่จบจากอังกฤษ

จึงเป็นที่น่ากลัวเกรงของประชาชนในสมัยนี้ เพราะการล่าอาณานิคมนั้นได้เปลี่ยนรูปแบบ อาศัยกระแสโลกาภิวัฒน์ ในการล่าอาณานิคม จากสงคราม สู้รบ มาเป็นการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ

พฤติกรรมการกู้เงินมาบริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง เป็นจำนวนมหาศาล อาจจะเป็นการเปิดทางเข้าสู่ระบบจักรวรรดินิยมใหม่


เพราะถ้ากู้ถึงจุดที่ไม่สามารถจะกู้ IMF หรือ ญี่ปุ่น ต่อไปได้ ทางออกเดียวคือการกู้เจ้าหนี้รายใหม่เพื่อใช้เจ้าหนี้รายเก่า และ จากสถานการณ์ ความสนิทสนม และ ลักษณะการบริหารระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลอภิสิทธิชน ภายใต้ขบวนการอำมาตย์ผู้กดขี่นั้น ทำให้เข้าใจได้ว่า

ท่านผู้นำอาจจะมีความฝักใฝ่ ที่จะนำไทยไปสู่สภาวะเมืองขึ้น อาณานิคมยุคใหม่ ทุนนิยมชนชั้นผู้ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น