วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อย่ากลัวความจริง หรือ จะไม่เชื่อ ในสิ่งที่ ศอฉ. บังคับให้เชื่อ


ข้อสงสัยและข้อครหา มากมายที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ นาย อภิสิทธิ เวชชาชีวะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวงกว้าง ทั้งเรื่องของ ปฏิบัติการทางทหารที่เกินจำเป็น รวมไปถึง ท่าที และ ความผิดพลาดจากการสั่งการที่เกี่ยวข้องกับการยุติการชุมนุมของ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน

รัฐบาลอภิสิทธิ ที่ปกครองจนมีผู้ที่มาขับไล่ตนเอง ต้องเสียชีวิต เกือบร้อยคน และ บาดเจ็บ กว่า สองพันคนนั้นจะมีหนทางแก้ปัญหา หรือเยียวยา อย่างไร ให้สังคมไทยกลับคืนสู่ความสงบสุข และ ขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพราะชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลเป็นคู่กรณีโดยตรง


ข้อเท็จจริงที่ทหาร ใช้อาวุธสงครามพร้อมกระสุนจริงยิงใส่ประชาชน ทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรง และ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง จนก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตประชาชน

ข้อเท็จจริงที่รัฐบาล ตัดสินใจไม่ยอม ให้มีการยุติการชุมนุมด้วยการ เจรจา แต่ตัดสินใจยุติการชุมนุมด้วยปฏิบัติการทางการทหาร

ข้อเท็จจริงที่รัฐบาลรู้ดีว่า ผลจากการใช้กำลังทหารจะตามมาซึ่งความเสียหาย และสูญเสีย ต่อทรัพย์สิน ต่างๆในบริเวณที่ใช้ปฏิบัติการทางทหาร

ข้อเท็จจริงที่รัฐบาล โดยเฉพาะ ศอฉ. ได้ปิดบัง บิดเบือน สื่อ โดยใช้อำนาจรัฐ ในการเผยแพร่สื่อ ด้านเดียว ไม่มีพื้นที่สื่อให้ผู้ชุมนุม และ ได้ใช้อำนาจผ่าน ศอฉ. กล่าวร้ายป้ายสี ผู้ชุมนุม โดยมิรู้จักแยกแยะชั่วดี

ข้อเท็จจริงหลายประการที่มิอาจ เผยแพร่ผ่านสื่อกระแสหลัก และ แม้แต่สื่อกระบอกเสียงของประชาชน รัฐบาลไม่มีท่าทีที่จะรับผิดชอบ โดยมีความพยายามที่จะโยนความผิดทั้งหมดไปให้ผู้ชุมนุมที่ รัฐบาล กล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย

ข้อเท็จจริง ที่ผู้ตายเกือบทั้งหมด ยกเว้นทหาร เป็นประชาชนคนธรรมดา ที่ทำความผิดโทษฐานเอาศีรษะไปรับกระสุน ของ ศอฉ.


ประหนึ่งว่า ความสูญเสียต่อตึกรามบ้านช่อง นั้นให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาล ในการลงมือสังหารประชาชน

ประหนึ่งว่า ประชาชนส่วนหนึ่งเรียกร้องให้ใช้การปราบปราม นั้นให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาล ในการลงมือสังหารประชาชน

ประหนึ่งว่า ความจน ความไร้ซึ่งอุดมการณ์ ความโง่ ของประชาชนผู้ชุมนุม นั้นให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาล ในการลงมือสังหารประชาชน

ประหนึ่งว่า อำนาจรัฐที่รัฐบาลมี ภายใต้กฎหมายพิเศษ นั้นให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาล ในการลงมือสังหารประชาชน


รัฐบาลนั้นมีความรับผิดชอบ ในทุกแง่มุมต่อความสูญเสียทุกประการ ทั้ง จากความผิดพลาด และ ความตั้งใจ ในการสั่งการของรัฐบาลเอง และ ไม่ว่ารัฐบาลจะแสดงละคร บีบน้ำตา ขอความสงสารเก่งแค่ไหน รัฐบาลก็หนีไม่พ้นความรับผิดชอบเหล่านี้

วันนี้ ประชาชนคนไทย มีสิทธิ และ ความชอบธรรม เต็มที่ ที่จะเรียกร้องให้ รัฐบาล โดยเฉพาะ นายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ลาออก จากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดจากความผิดพลาดของฝ่ายรัฐ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

อย่ากลัวที่จะเชื่อว่า รัฐบาล ได้ตัดสินใจผิดพลาด จนเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสีย

อย่ากลัวที่จะเชื่อ ศอฉ. ว่าสิ่งที่ ศอฉ. อ้างนั้น เป็นการปกปิด บิดเบือน ความจริง

อย่ากลัวที่จะเชื่อว่า ประชาชน สามารถ ยุติความขัดแย้งของสังคมได้ตามหลัก ประชาธิปไตยที่แท้จริง

เราเป็นใครบนแผ่นดินไทย???


รัฐบาลบอกว่า พวกเราเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นขบวนการล้มเจ้า “เราบอกว่า ไม่ใช่”

รัฐบาลบอกว่า พวกเรามันคนไร้การศึกษา เรามันพวกไร้อุดมการณ์ “เราบอกว่า ไม่ใช่”

รัฐบาลบอกว่า พวกเรามันเห็นแก่ตัว เรามันรับจ้างเขามา ว่าพวกเราถูกซื้อ
“เราบอกว่า ไม่ใช่”

พี่น้องประชาชนบอกว่าเราเป็น ประชาชนคนไทย ที่จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง เรามาเพื่ออุดมการณ์แห่งประชาธิปไตย เรามาเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาฯ เรามาแสดงให้เห็นว่าเรามาด้วยอุดมการณ์ เราตัดสินใจด้วยตัวของเรา และ รัฐบาลควรจะเคารพเคารพในการตัดสินใจของพวกเรา

รัฐบาลทรราชและลิ่วล้อผู้สนับสนุน อย่าได้บังอาจ มาดูถูกเหยียบย่ำ น้ำใจของพวกเรา ในสายตาของพวกท่าน เราอาจจะโง่ เราอาจจะจน เราอาจจะไร้การศึกษา แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านควรเคารพ ไม่มาดูถูกเหยียดหยามคือ ความจริงที่พวกเราส่วนใหญ่สามารถที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดี และ พวกเราส่วนใหญ่ยึดถือแนวทางสันติวิธี และมั่นคงในความดีงาม ตามหลักศาสนา

รัฐบาลใส่ใจกับอาคาร คอนกรีต และ ชื่อเสียงหน้าตาของตน ที่ไหม้ไปพร้อมกับไฟ มากกว่า แปดสิบชีวิตที่สูญสิ้นไป

เราอาจจะไม่มีคุณค่า ในสายตาของรัฐบาล แต่ รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิ ที่จะมาใช้กำลัง ใช้อำนาจ บีบบังคับให้พวกเรายอมรับในสิ่งผิดๆ ที่รัฐบาลทำ รัฐบาลไม่มีสิทธิที่จะมาจำกัด กำจัด สิทธิของพวกเราที่คิดจ่างจากรัฐบาล และที่สำคัญ รัฐบาลไม่มีสิทธิที่จะมาคร่าชีวิตของพี่น้องประชาชนเพื่ออำนาจของตน

วันนี้เราเห็นชัดๆว่า รัฐบาลกำลังกระทำการทุกวิถีทาง ให้พวกเรากลายเป็นความชั่วร้าย ความไร้ค่า และ ศัตรูของประเทศชาติ ในสายตาคนทั่วไปที่ไม่ใส่ใจการเมือง

เราไม่กลัวในสิ่งที่รัฐบาลกล่าวหา เราแค่ต้องการพื้นที่ที่จะต้องอธิบายให้สังคมได้รับรู้ รัฐบาลต้องให้ชาวนาหลายพัน หลายหมื่นคน รวมตัวกันมาถึงจะรับฟัง ในขณะที่พ่อค้าคนกลางไม่ถึงสิบคนรวมตัวกัน รัฐบาลก็ฟังแล้ว

เราต้องรวมตัวกันมาเป็นหมื่นเป็นแสน เพื่อเรียกร้องให้ยุบสภาฯ แต่รัฐบาลก็แค่ฟัง ในขณะที่รัฐบาลเอาพวกพ้องของตัวเองมารวมตัวกันไม่กี่พัน แล้วก็ตัดสินใจเลยว่า มีผู้คัดค้าน เพราะฉะนั้น ไม่ยุบสภาฯ

เราไม่แน่ใจว่ารับบาลจะรู้ตัวหรือไม่ ว่า กำลังจะผลักพวกเราไปเป็นศัตรูที่จะอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันไม่ได้ หรือว่า รัฐบาลรู้อยู่แล้ว แต่รัฐบาลมั่นใจว่าจะกำจัดพวกเราให้หมดไปได้ อันนี้เราไม่แน่ใจ

รัฐบาลจะละลายความโกรธ ความเสียใจ ความแค้น ในจิตใจ ของเพื่อนๆ ญาติ พี่น้อง ลูกเมีย หัวหน้าลูกน้อง ของผู้สูญเสียและบาดเจ็บ กว่า สองพันชีวิตอย่างไร เท่าที่เห็น รัฐบาลยังปล่อยให้พวกพ้องออกสื่อโจมตีขบวนการประชาชนรายวัน ทำทุกวิถีทางที่จะให้ขบวนการเพื่อประชาธิปไตย เป็นโจร เป็นผู้ร้าย

วันนี้ เราต้องถามตัวเองว่าเราเป็นใครบนแผ่นดินไทย

เราเป็นทาสใต้การปกครองของรัฐบาลอำมาตย์ หรือไม่ใช่

เราจะยืนยันต่อสู้เพื่อสิทธิ และ ความชอบธรรมสำหรับ การตัดสินใจของเราเอง หรือไม่

หรือว่า เราพอใจ ที่จะให้มีคนฉลาดๆ อย่างรัฐบาลชุดปัจจุบัน คอยชี้นำ ชักจูง ให้เราเดินไปาลอำมาตย์ หรือไม่ใช่
หากเรายังเป็นตัวของเราเองแล้ว เราต้องยืนหยัดอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล แล้ว ต่อสู้ต่อไป เราต้องทำความเข้าใจ ในความไม่ชอบธรรมต่างๆ ของรัฐบาลปัจจุบันให้ลึกซึ้ง ใช้แนวทางสันติวิธีชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริง และ เหตุผลเบื้องหลังที่เราต่อสู้เพื่อ ประเทศชาติ และ ประชาธิปไตยออกไป ให้กว้างและลึกซึ้ง

คนเราเลือกประเทศเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศของเราให้ดีขึ้นได้ แน่นอน

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รัฐบาลทรราช: ประชาชนไล่คุณไม่ได้ แต่เขาเกลียดคุณมากขึ้นได้





มีพยานอย่างน้อยสองคน ที่กล้าชี้แจงว่ามี ทหาร ยิงเข้ามาในวัด ผมไม่อยากจะเชื่อ แต่ผมก็ไม่สามารถคัดค้านได้ ในเมื่อฝรั่งที่โดนยิงขา ถูกยิงมาจากทางแนวของทหารไทย ผมไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์อะไรที่นักข่าวฝรั่งจะต้องโกหก เขายืนยันว่าทหารยิงเข้ามาในวัดจริงๆ

ผมเห็นสื่อ ต่างๆยังคงมองข้ามความสำคัญของ 85 ศพ รัฐบาลไม่ได้พูดถึง 85 ศพ และ หน่วยงานของรัฐบาลพยายามหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงยอดผู้เสียชีวิต โดยการรายงานเฉพาะช่วงเวลา เช่น จำนวนคนตาย 53 คน ระหว่างวันที่ 14 จนถึงปัจจุบัน และ 29 คน เสียชีวิตเมื่อ 10 เมษา เป็นต้น

ผมเห็นนายกรัฐมนตรี พร่ำบอกว่า จะสมานฉันท์ แต่ลูกน้องทุกคนยังคอยใส่ความประชาชนอยู่สม่ำเสมอ

วันนี้ผมเห็น ประกาศยกเลิก การห้ามออกนอกบ้านหลังสามทุ่มในพัทยา เพราะอะไรหรือครับ ถ้ามองในแง่ลบคือ รัฐบาลอาจจะโดนพ่อค้าแม่ค้า นักท่องเที่ยว นักธุรกิจท่องเที่ยวเกลียดชังเอาได้ ถ้ามองโลกในแง่ดีคือ นายกเมืองพัทยาฝีมือดีกว่านายกรัฐมนตรี เรียกได้ว่า เคลียร์ปัญหารวดเร็วทันใจ

วันนี้รัฐบาลพยายามทำให้ผมลืมเรื่องที่ไม่ดีงามต่างๆของรัฐบาล แต่ผมไม่มีวันลืม และผมจะจำเอาไว้จนกว่า สังคมไทยจะเอาคนชั่วมาลงโทษให้ได้ ผมอยากเตือนความจำของตนเองไว้ดังนี้ครับ

รัฐบาลมีที่มาไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และ ไม่สง่างาม คือ รัฐบาล ปชป. ไม่เคยชนะการเลือกตั้ง รัฐบาล ปชป. ไปร่วมมือกับพรรคการเมืองที่ไม่เคยมีคนไทยคนใด เคยเลือกมาก่อน เข้ามาร่วมรัฐบาล

รัฐบาลหวงอำนาจ ยังไม่ยอมแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่เคยสัญญาก่อนเลือกตั้งว่า จะแก้ จะแก้ จนในที่สุดความจริงก็ปรากฏว่า รัฐบาล ปชป. ต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญเผด็จการ

รัฐบาลกู้มาโกง ชุดนี้ เป็นรัฐบาลที่มีการทุจริต ทั้งในส่วนของพรรคแกนนำ และ พรรคร่วมรัฐบาล

รัฐบาลสองมาตรฐานอภิสิทธิ์ชน ยังคงไม่ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อเปรียบเทียบ กรณีของพันธมิตร กับ นปช.

รัฐบาลไร้ความสามารถ ที่จะบริหารราชการแผ่นดิน เอาใจทหารเกินจำเป็น ใช้งบประมาณทหารสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จากเงินในอนาคตของพี่น้องประชาชนชาวไทย

รัฐบาลไม่เคารพสิทธิในการสื่อสารของประชาชนคนไทย

รัฐบาลใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงคราม เข้าปราบปราม ปิดล้อม จนเป็นเหตุแห่งความสูญเสียทั้งหมดทั้งสิ้น

รัฐบาลไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทย

เหล่านี้จะถูกจดจำ และ รัฐบาลจะได้รับบทเรียนในที่สุด เพราะถึงแม้นว่า ประชาชนเขาจะไล่คุณไม่สำเร็จในตอนนี้ แต่

พวกเขา สามารถเกลียดคุณมากขึ้นได้

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประชาชนกำลังถูกเหยียบ มาร์คต้องหยุดฆ่า แล้วยุบสภาทันที


“ยืดเวลากฎอัยการศึกออกไปอีกสามวัน ก็คงไม่ช่วยให้สถานการณ์ สงบลงได้” และ “ใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามเข้ากวาดล้าง ก็คงไม่สามารถหยุดเหตุการณ์ความไม่สงบลงได้” นี่คือความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ในวันนี้

รัฐบาลกล่าวหาว่า คนเสื้อแดงที่โกรธ เป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง เป็นผู้ก่อการร้ายที่ได้แสดงตัวแล้ว เหมือนที่รัฐบาลเคยบอกไว้แล้ว ส่วนคนเสื้อแดงกล่าวหาว่า รัฐบาลร่วมมือกับเด็กเนวิน สร้างสถานการณ์ใส่ร้ายคนเสื้อแดง

รัฐบาลยังคงเผยแพร่สื่อด้านเดียว ท่าทีของรัฐบาลยังโทษคนเสื้อแดงอย่างหนักหน่วง ตัวแทนของรัฐบาลแสดงออกต่อสังคมอย่างมั่นใจว่า คนเสื้อแดงคือผู้ก่อการร้าย ผู้ผิด ผู้หลงผิด เหมือนเป็นสิ่งไร้ค่าที่รัฐบาล “ฆ่า” ได้ตามใจชอบ เช่น ไก่อู เช่น ปณิธาน เช่น เทพไท เป็นต้น เหล่านี้โดยไม่ได้รอพิสูจน์ความจริง

การยืดเวลากฎอัยการศึกออกไปอีกสามวัน ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ประเด็นสำคัญที่จะหยุดความรุนแรงที่เกิดขึ้น อยู่ที่การตัดสินใจของรัฐบาล เท่านั้น

หากรัฐบาลใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามเข้าปราบปรามอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่จะตามมาคือ การพัฒนาการของความรุนแรงไปสู่ สงครามกองโจร หน่วยรบขนาดเล็กเคลื่อนที่เร็วที่รู้ทิศทางใน กทม. เป็นอย่างดี หากเป็นเช่นนี้รัฐบาลกำลัง บอกกับประชาชนว่า “ไม่เป็นไร ความเสียหายที่เกิดเป็นเรื่องจำเป็น”

หากรับบาลใช้การเมืองเข้าแก้ไขสถานการณ์ โดยรัฐบาลตัดสินใจ “ลาออก และ จัดให้มีการเลือกตั้งในทันที” อย่างนี้ แล้ว ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในส่วนที่เป็นเหตุจากคนเสื้อแดง ก็ เชื่อแน่ว่า ความรุนแรงจะทุเลาลง ถ้ามีเหตุเกิด ก็จะเหลือในส่วนที่เป็นผู้แอบอ้างเสื้อแดง หรือ กลุ่มของรัฐบาลที่สร้างสถานการณ์เอง

ในสถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลกำลังสร้างความเกลียดชังให้ประชาชนคนทั่วไปที่ไม่เข้าใจในสถานการณ์ ให้โกรธเกลียด เหยียดหยาม คนเสื้อแดง ทั้งๆที่ อภิสิทธิ์เองก็ ยอมรับมาตลอดว่า ผู้ชุมนุมเสื้อแดงส่วนใหญ่มาเพื่ออุดมการณ์ มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ชอบความรุนแรง ท่าทีเหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกมาจากรัฐบาลอย่างชัดเจน

มันเป็นเรื่องของการแย่งชิงมวลชน ซึ่งแน่นอนว่า ส่งครามสื่อ จบลงด้วยการที่รัฐบาลเป็นผู้ชนะ เหนือประชาชนผู้ชุมนุม ชัยชนะที่รับบาลสามารถยั่วยุมวลชนบางส่วนให้ระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ชัยชนะครั้งนี้ของรัฐบาล มันเป็นการเหยียบย่ำ ย้ำรอยแผล ตอกย้ำความเจ็บช้ำน้ำใจที่มีต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ มันเป็นแผลร้าวลึกของสังคมที่รัฐบาลจะไม่มีวันได้รับการให้อภัย

มันจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลควรเร่ง สำนึก ให้ได้ ในความผิดชอบชั่วดี ที่เกิดจากความผิดพลาดของรัฐบาล การออกทีวีเพื่อขอโทษ จะไม่ทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายแน่นอน และ ผลดีที่สุดคือ ลดความสุ่มเสี่ยงที่จะไปเร่งแปลงความโกรธแค้นให้เป็นความรุนแรง

ถึงเวลาแล้ว ที่ อภิสิทธิ์ ควรตัดสินใจ ยุบสภา แล้วจัดการเลือกตั้งทันที

อย่างน้อย รัฐบาลจะสามารถลดระดับความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นลงได้

ด้วยความปรารถนาดีต่อสังคม

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รัฐบาล มีแค่สองทางเลือก เท่านั้น เพราะพวกเรา จะเอาคืน


ผมเข้าใจว่าพี่น้องประชาชนกำลังรู้สึกผิดหวัง รู้สึกโกรธแค้น และ เสียใจ แต่ผมยังยืนยันว่าการตัดสินใจมอบตัวของแกนนำในวันนี้ เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของความปลอดภัยของประชาชนผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์

เวลา 13.27 จตุพร ประกาศ มอบตัวเพื่อรักษาชีวิตของพี่น้องประชาชน ผมได้ยินเสียงสะอื้นของ จตุพร ผมรู้สึกได้ว่ามัน ยากมาก ที่จะต้องพูดอะไรแบบนี้ออกมา

ผมได้ยินเสียงโห่ร้อง ไม่เห็นด้วย กับการตัดสินใจของแกนนำ และ นาทีนี้ เท่าที่ผมทราบ การชุมนุมในสถานที่อื่นๆ ยังไม่ได้ยุติลง นาทีนี้ มันหนักมาก ประชาชนเสียชีวิตกว่า 80 ศพแล้ว ผมยังยืนยันว่า “เราไม่ได้แพ้”

เราได้ร่วมกันแสดงให้โลกทั้งโลก ได้เห็นว่า นปช. เห็นความสำคัญของพี่น้องประชาชน มากกว่า รัฐบาล ที่นำกองกำลังติดอาวุธ สงครามเข้าปฏิบัติการกับพี่น้องประชาชน และ ยังเป็นยุทธศาสตร์การต่อสู้ที่ดี เมื่อแกนนำถูกจับกุมแล้ว หากประชาชนโดยทั่วไปยังชุมนุมอยู่ ก็ แสดงให้เห็นว่า ข้อเท็จจริงนั้น ประชาชนมาร่วมต่อสู้ด้วยตนเอง โดยความตั้งใจของตนเอง


วันนี้ เราปฏิเสธ ไม่ได้ว่า ความโกรธแค้น เกลียดชัง ที่คนไทยจำนวนมากมีต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน จะร้าวลึกลงไปอีก และ ยากมากที่จะทำให้เกิดบรรยากาศ สมานฉันท์อีก

ผมเอง มองว่า สถานการณ์ จะเดินต่อไปได้ในสองรูปแบบ ขึ้นอยู่กับรัฐบาล

รูปแบบแรก หากรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าใช้กำลังทหาร ติดอาวุธสงครามเข้าปราบปราม การชุมนุมรอบนอกจะขยายตัวขึ้น จนในที่สุด การต่อสู้แบบสงครามกองโจรจะขยายตัวออกไป อาจจะพัฒนาไปถึงขั้น ระเบิดพลีชีพ เพื่อสังหารบุคคลในรัฐบาล

รูปแบบที่สอง หากรัฐบาลตัดสินใจดำเนินการ เจรจา ให้แกนนำที่มอบตัวขอร้องให้ ประชาชนที่ชุมนุมในจุดอื่นๆ ยอมยุติการชุมนุม รัฐบาลจะสามารถ หยุด ความรุนแรงและความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น

ผมยังเห็นว่า ผู้นำไทย คนปัจจุบันนั้น มี วุฒิภาวะต่ำ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า สถานการณ์จะดำเนินการไปในรูปแบบแรกที่ผมกล่าวไปแล้ว

สิ่งที่พี่น้องประชาชน ผู้ชุมนุม จะได้เผชิญต่อไป คือ การที่พี่น้องผู้ชุมนุม จะถูกดูถูกเหยียดหยาม จากคนที่สนับสนุนฝ่ายรัฐบาล และ ประชาชนทั่วไปที่ได้รับสื่อฝ่ายเดียว

เพราะฉะนั้น ผมจึงขอให้พี่น้องชาวไซเบอร์ได้เตรียมตัวเตรียมใจ เก็บความผิดหวัง ความโกรธเกลียด ให้เป็นพลังในการต่อสู้ต่อไป

ผมยังเชื่อว่า ความยุติธรรม ความเท่าเทียมกัน จะต้องเกิดขึ้นในสังคมไทย

เราจะยังคงเดินหน้าสู้ต่อไปตามแนวทางสันติวิธี

เราจะเอาคืน ความยุติธรรม ความเท่าเทียมกัน และ ประชาธิปไตย ที่แท้จริง

พวกเรา จะเอาคืน

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ทำไมประชาชนเชื่อว่ารัฐบาลเป็น “ผู้ฆ่า” และ ก้าวต่อยังไง ให้รัฐบาล “หยุดฆ่า”



ทำไมผมถึงให้น้ำหนักว่า รัฐบาลเป็นฝ่าย “ผู้ฆ่า” และ ทำไมผมถึงให้น้ำหนักว่า นปช. เป็นฝ่าย “ผู้ถูกฆ่า” นั่นเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสายตาประชาชนโดยทั่วกัน

ประเด็นแรก ที่เราเห็นกันชัดเจนคือ เจ้าหน้าที่รัฐ พกพาอาวุธสงครามและกระสุนจริงจำนวนมาก และยังได้รับอนุญาตให้ยิงกระสุนจริงอีกด้วย

ประเด็นที่สอง ลักษณะของ “ผู้ถูกฆ่า” ปรากฏว่าเป็นทหาร 1 ประชาชน 34 คน จากตัวเลขที่ได้รับการยืนยันล่าสุด และ ประชาชนทั้ง 34 คนที่ตายไปแล้วนั้น ไม่ได้พบว่ามีอาวุธสงคราม หรือ ถูกแจ้งความว่าเป็นผู้ก่อการร้ายแม้แต่คนเดียว

ประเด็นที่สาม ปฏิบัติการ “กระชับพื้นที่” ของรัฐบาลนั้น เป็นปฏิบัติการทางทหารที่ใช้กับศัตรูผู้รุกราน กล่าวคือ การปฏิบัติการ เริ่มด้วยการปิดล้อมพื้นที่ ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอาหาร และ ตั้งเขตสังหาร (Life Firing Zone) หากประชาชนที่บริสุทธิ์ เดินเข้าไปให้ถือว่าไม่บริสุทธิ์ ให้ใช้กระสุนจริงยิงได้ทันที ทั้งยังมีอาวุธสังหารระยะไกล คือปืนที่ใช้ในการสงครามติดลำกล้อง ซึ่งปฏิบัติการในลักษณะนี้ มีน้ำหนักไปในทางล้อมปราบ มากกว่า ป้องกันความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน เห็นได้ชัดว่า การตัดเส้นทางเสบียงไม่มีความจำเป็น และ การตัดไฟเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดความเสียหายได้ง่าย ในขณะที่การเพิ่มแสงไฟในมุมมืดสามารถช่วยระวังภัยได้ดี

ประเด็นที่สี่ คือ “ท่าทีของรัฐบาล” ที่ตอบสนองต่อประชาชน และ ผู้ชุมนุม แม้แต่การ “เจรจา-หยุดยิง” ก็ต้องมีข้อแม้ เพราะถ้าไม่มีข้อแม้ แล้ว ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตนเองจะเพลี่ยงพล้ำเสียท่า ให้ฝ่ายตรงข้าม เมื่อ นปช. เสนอการเจรจาหยุดยิง แต่ ขอให้รัฐบาล ถอนทหารก่อน เมื่อ รัฐบาล ก็คิดที่จะเจรจาหยุดยิง แต่ ขอให้ นปช. สลายการชุมนุมก่อน เป็นไปได้หรือไม่ ที่ ทั้งสองฝ่ายยอมพบกันครึ่งทาง คือ win-win ทั้งคู่ เช่น “เจรจาหยุดยิง” ทันที โดยไม่ต้อง ถอนทหาร และ ไม่ต้องสลายการชุมนุม ตอนนี้ท่าทีของ นปช. ชัดเจน คือ ยอมให้ วุฒิสภา เป็นคนกลางในการเจรจา แต่ รัฐบาลยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจน

ประเด็นที่ห้า คือ ท่าทีของรัฐบาล ที่มีต่อ “การปฏิบัติ” ภารกิจของสื่อ และ หน่วยกู้ภัย รวมไปถึง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งๆที่ สื่อ สามารถช่วยเจ้าหน้าที่ในการเก็บหลักฐาน “ผู้ก่อการร้าย” ส่วน หน่วยกู้ภัย สามารถช่วยเจ้าหน้าที่ในการยับยั้ง วิบัติภัยต่างๆ เช่น ช่วยดับไฟ ช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น แก่ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถช่วยในเรื่องการเจรจาต่อรองกับผู้ชุมนุมแนวหน้าที่ต้องปะทะกับเจ้าหน้าที่ รัฐบาลที่ไม่ใช่ฆาตกร ควรอาสาคุ้มครองสื่อ ให้สื่อได้อยู่แถวหลังถัดจากเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อให้มีหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ในปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ช่วยทหารลดข้อครหา

ประเด็นที่หก รัฐบาลออกแถลงการณ์ต่างๆ โดยไม่เปิดโอกาสให้สังคมได้ตั้งคำถาม คือ แถลงเสร็จก็จบ ห้ามไม่ให้มีข้อสงสัยใดๆ การกระทำเช่นนี้ สร้างข้อสงสัยได้มาก สร้างข้อครหาได้มาก หากรัฐบาลบริสุทธิ์ใจ ก็ สมควรให้มีการตั้งคำถามสดออกทีวี หลังจากที่มีการแถลงข่าว เสร็จทุกครั้ง

ประเด็นที่เจ็ด รัฐบาลไม่ได้แสดงความมุ่งมั่น และ จัดลำดับความสำคัญให้ “การจับกุมผู้ก่อการร้าย” หรือผู้ก่อเหตุร้าย เป็นอันดับแรก แต่รัฐบาลกลับให้น้ำหนัก “การยุติการชุมนุมของ นปช.” เป็นจุดมุ่งหมายที่มีความสำคัญอันดับแรก ทั้งๆที่รัฐบาลควรจะมุ่งเป้าไปที่การแยกผู้ก่อการร้าย ออกจากผู้ชุมนุม ที่แม้แต่ อภิสิทธิ์ เองก็ยอมรับว่ามีประชาชนผู้มาด้วยอุดมการณ์ อยู่ในที่ชุมนุม รัฐบาลควรเร่งเปิดเผยออกมาว่า ใครคือผู้ต้องสงสัยว่า เป็นผู้ก่อการร้าย ใช้หน่วยข่าวกรองที่เข้าออกสถานที่ชุมนุมได้อย่างอิสระตลอดมา ในการสืบสวน ว่าใคร กลุ่มไหน ในการชุมนุมเป็นผู้ต้องสงสัยในการก่อการร้าย เพื่อที่จะได้ลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป

ทั้งเจ็ดประเด็น ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลน่าจะเป็น ผู้ฆ่า ทั้ง 34 ศพ ที่เสียชีวิตไป และมีน้ำหนักมาก ว่า คนที่ตายไปเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการอยู่

ตอนนี้ต้องฝากความหวังไว้ที่ สังคมไทยทั้งประเทศครับ เราจะปล่อยให้ มีการตายกัน 500 ศพ อย่างที่ รัฐบาลจัดโควตากันไว้หรือไม่ ถ้าสังคมยินดีที่จะเห็นศพเพิ่มอีก 4-500 ศพ เราก็ไม่สามารถ ทำอะไรได้ครับ

แต่ผมมองว่า การพัฒนาของคนไทยที่ผ่านมา ได้สร้างคนไทยจำนวนมากให้เป็นอารยะชนไปแล้ว นั่นคือ ผมมั่นใจว่า สังคมไทยจะเริ่มพูดเสียงดังขึ้นแล้วว่า “หยุดฆ่า” เดี๋ยวนี้


ตอนนี้ ทางออกคือ ต้องอาศัยกระแสสังคม บีบให้ รัฐบาล “ยอมเจรจา”

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ฆ่าประชาชน ฆ่าประชาธิปไตย ฆ่ารัฐไทย “ประเทศไทยโชคดี ที่มีนายกชื่อ อภิสิทธิ์”




เมื่ออำนาจรัฐดูแคลน “สันติวิธี” จะมีหนทางออกใดกล้าเสนอตัวเพื่อยุติความสูญเสียได้อีกเล่า

เมื่อรัฐบาลปฏิเสธ “เจรจา-หยุดยิง” จะมีหนทางใดนอกเสียจาก ยอมตาย เพื่อปกป้องชีวิตประชาชน

จากปลายกระบอกปืนถึงศีรษะ ผู้มีชีวาวาย ต้องตายเพราะการต่อสู้ทางการเมือง นับจนถึงรายงานข่าวล่าสุด ก็ 62 ชีวิต ที่ต้องสังเวย ตั้งแต่ 10 เมษายน และ รัฐบาลคงยังสบายๆเพราะตั้งเป้าไว้ว่า สังคมไทยยอมรับได้ที่ 500 ศพ

หลากหลาย ปราชญ์ เสนอว่า อย่าเพิ่งหาคนผิด อย่าเพิ่งเร่งโทษใคร ให้รีบเร่งลดความเสียหายต่อชีวิตประชาชนให้เร็วที่สุด

สังคมออนไลน์ ก็แตกแยก “คุณธรรม”, “จริยะธรรม” และ “มนุษยธรรม” ไม่ต้องพูดถึง กองเชียร์ เสื้อเหลือง กองเชียร์รัฐบาล หัวเราะล้อเลียน ที่ “ไพร่แดง” ตาย สังคมออนไลน์ตกต่ำ ส่วน ไพร่แดงในโลกไซเบอร์ ก็ ไม่มีพื้นที่ระบาย

รัฐบาลปิดกั้นการสื่อสารของ ผู้คัดค้านทางการเมือง สื่อกระบอกเสียงถูก สกัดทุกวิถีทาง สื่อกระแสหลักถูกควบคุมกดดัน รับบาลบีบช่องทางระบายอารมณ์ และ ความรู้สึก รัฐบาลกดทับเสียงเรียกร้อง จนสังคมไม่ได้ยิน บีบให้ประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐบาลต้องลงสู่ท้องถนน

รัฐบาลใช้กำลังทหารติดอาวุธสงคราม บีบคั้น กดดัน บังคับ ไม่ให้การชุมนุมของประชาชนดำเนินการต่อไปได้อย่างสันติ

รัฐบาลกล่าวหาประชาชนว่าเป็น ผู้ก่อการร้าย เป็น ขบวนการล้มเจ้า เป็นกลุ่มคนที่รัฐบาลจะสังหารได้โดยไม่มีความผิด

สังคมไทยกำลังอนุญาตให้ ฆ่า กันเองโดยไม่มีการท้วงติงจาก องค์กรสิทธิมนุษยชนไทย สังคมกำลังอนุญาตให้ ไทยฆ่าไทย โดยไม่พูดจาตำหนิติเตียน หรือ ห้าม ผู้มีอำนาจในแผ่นดิน

การสั่งทหารที่ติดอาวุธสงครามให้มาปฏิบัติการ คือ การสั่ง
“ฆ่าคนไทย”

การสั่งปิดกั้น กดดันสื่อ การสื่อสาร การใช้สื่อด้านเดียว คือ การ “ฆ่าประชาธิปไตย”

การใช้เส้นสาย ปิดปาก องค์กรสิทธิมนุษยชน ควบคุมรัฐสภาฯ ข่มขู่พรรคร่วม ดึงสถาบันเบื้องสูง ลงมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง คือ การ
“ฆ่ารัฐไทย”

รัฐบาลปัจจุบัน คือ ผลผลิตของสังคมอำมาตย์ไทย

บูรพาพยัคฆ์: เมื่อ เสือ ใกล้สิ้นลม สัญญาณสงครามกลางเมืองเริ่มขึ้นแล้ว


บูรพาพยัคฆ์ นั่งเรียงกันแถลงข่าวในนาม ศอฉ. โดยมี ไก่อู เป็นตัวเปิดประเด็นโกหกรายวัน เมื่อวานนี้ (16 พค. 53) เป็นการเปิดฉาก ส่งสัญญาณ ความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

ทหารอ้างว่า ผู้ชุมนุมติดอาวุธ อันตราย จะทำร้ายทหาร จึงต้องใช้อาวุธสงครามต่อสู้ ทหารอ้างว่า โดนผู้ชุมนุมยิงด้วยอาวุธสงคราม ทั้ง M79 ปืนพก และ อื่นๆ จนทำให้ ประชาชนตาย กว่า 20 ชีวิต ทหารไม่ตายซักคน

ทำไมผู้ก่อการร้าย ถึงมีฝีมือดี ขนาดนี้ ขนาดทหารยืนรวมกันเป็นแผง เรียงแถว ยังยิงไม่โดน (เป็นผู้ก่อการร้ายที่โง่ที่สุดในโลก)

ในขณะที่ทหารไทย บางคน พูดไทยไม่ได้ พูดได้แต่ภาษาเขมร ถูกสั่งให้ยิงพื้น ยังโดนหัวประชาชนได้ ทำไมมันเก่งขนาดนั้น

บูรพาพยัคฆ์ กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อดำรงอำนาจในกองทัพไว้ไม่ให้เสื่อมคลาย โดยตั้งใจจะทำทุกอย่างแม้แต่จะต้องฆ่าคนอีกมากน้อยแค่ไหน

อภิสิทธิ์ เองก็รู้ตัวดี มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์ มีความเข้าใจในสถานการณ์ และ ต้องการที่จะสลายการชุมนุมด้วยการบังคับ แม้ว่าจะต้องสังเวยชีวิต ประชาชนคนไทยเป็นร้อยศพ อภิสิทธิ์ ก็มีท่าทีรับได้ กับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น

บูรพาพยัคฆ์ กำลังฝากอนาคตที่ตกเหวอยู่แล้วของตัวเอง ให้นักการเมืองดึงมือไปลงเหวที่ลึกกว่า

เสียงแล้ว เสียงเล่า ภาพแล้ว ภาพเล่า ที่ออกไปตามสื่อทั่วโลก เป็นหลักฐานแสดงความอำมหิตของรัฐบาลไทยที่ไร้วุฒิภาวะ กระหายเลือด กระหายอำนาจ กระหายสงคราม

แม้นในบูรพาพยัคฆ์ จะมีสัตว์กระหายเลือดอยู่ตัวสองตัว แต่เชื่อแน่ว่า คนอื่นๆ ยังคงตั้งมั่นอยู่ใน ศีลธรรม

วันนี้ อภิสิทธิ์ เตรียมประกาศกฎอัยการศึก หมายใช้กำลังบังคับให้ประชาชนหยุดชุมนุม บูรพาพยัคฆ์จะได้รับดาบ มาสร้างความสูญเสียให้แก่พี่น้องประชาชน

สัญญาณสงครามกลางเมืองร้องดังขึ้นมาทุกที บูรพาพยัคฆ์ ยังต้องการความสูญเสียเพิ่มเติมหรือไม่ อภิสิทธิ์ เตรียมโยนความผิดทั้งหมดทั้งปวงให้ทหารเพราะรู้ดีว่าถ้าดำเนินการต่อไป ปฏิบัติการทางทหารต่อไป ยังไงก็ต้องเกิดความสูญเสียใหญ่หลวงขึ้นแน่นอน

เสือ จะเดินหน้าฆ่าช้างสาร หรือ จะหันหลังไปตะปบ หมา ให้หลีกทาง ก็อยู่ที่ทหารเองทั้งนั้น

บูรพาพยัคฆ์ จะเดินหน้าฆ่าประชาชนต่อ หรือ จะหลบฉากให้นักการเมืองสู้กันเอง

การประกาศกฎอัยการศึก เป็นระฆังแห่งสงครามกลางเมือง

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ยอมฆ่าคน เพื่อ ปกป้อง เทพเทือก: สัญญาณสงครามกลางเมือง




อีก 27 ชีวิตที่ต้องสังเวยไปในเพียงชั่วข้ามคืน เท่าที่ผู้เขียนทราบ เมื่อรวมกับ 29 ศพ ก่อนหน้านี้ เราได้เสียชีวิตคนไทยไปแล้ว เกือบ 60 ชีวิต ณ เวลานี้ เป็น 27 ชีวิตที่ต้องสูญเสีย เพื่อที่จะให้ได้มา ซึ่งการยืดเวลาเข้ามอบตัวเป็นผู้ต้องหาของ นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ

รัฐบาลยอมแลก 27 ชีวิตของประชาชนคนไทย เพื่อที่ เทพเทือกจะได้ไม่ต้อง พิมพ์รายนิ้วมือ หรือ รับทราบข้อกล่าวหา จึงเห็นได้ชัดว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ความสำคัญกับ นักการเมืองมากกว่า ชีวิต ของพี่น้องประชาชนคนไทยด้วยกัน

ความรับผิดชอบชั่วดี ของนักการเมืองไทย จึงไม่มีอยู่จริงในประเทศนี้ โดยเฉพาะ นักการเมือง ในฝ่ายรัฐบาลที่ยุ อภิสิทธิ์ ให้ ฆ่า อย่าปราณี

น่าอนาถใจ เป็นที่สุด เมื่อรัฐใช้อำนาจปิดบังการสื่อสาร ไม่ให้ประชาชนคนไทยได้รับข่าวสารอย่างรอบด้าน

ความรู้สึกที่คนไทยยอมแลก ชีวิตประชาชน เพื่อไม่ให้ คน คนเดียว ต้องพิมพ์ลายนิ้วมือ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึง ความล้มเหลวของรัฐไทย ความล้มเหลวของประเทศไทย ความล้มเหลวของสังคมไทย เป็นความล้มเหลวของจริยธรรมในสังคมไทย ที่ยอมให้ รัฐบาล ใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงคราม เข้าปฏิบัติการต่างๆ โดยไม่มีการท้วงติงผ่านสื่อกระแสหลัก

การเรียกร้องความยุติธรรมให้คนตาย ทำให้คนไทยต้องตายเพิ่ม การเรียกร้องให้ เทพเทือก ไปพิมพ์ลายนิ้วมือ ต้องแลกด้วย ศพ คนไทยอีกกี่ศพ

ประเด็นหลักคือ นาทีนี้ รับบาลผู้มีอำนาจอยู่ในมือ ต้องเก็บอาวุธสงครามทั้งหมด อย่าให้มีอาวุธสงครามปลิดชีวิตออกมาเดินอยู่ตามท้องถนน รัฐต้องหยุดความสูญเสียต่อชีวิต และ ร่างกายของพี่น้องประชาชนให้เร็วที่สุด ในทันที

นาทีนี้ รัฐ ยังไม่ได้แสดงออกใดๆในทาง ที่จะทำให้ยุติความสูญเสีย ต่อชีวิต ร่างกาย และ ทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนคนไทย สิ่งที่เราเห็นและได้ยิน เป็นเพียงการยืนยันจากรัฐ ว่า จะปฏิบัติการต่อไป และ ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่ เกิดจากการป้องกันตัวของทหารทั้งสิ้น

ผมขอร่วมเรียกร้องให้ รัฐบาล สั่งถอนทหารออกจากพื้นที่ ทันที เพื่อลดปริมาณอาวุธสงครามในท้องถนน

ผมขอร่วมเรียกร้องให้ รัฐบาล สั่งการให้ยกเลิก พรก. ฉุกเฉิน และ พรบ. มั่นคง ในทุกพื้นที่

ผมขอร่วมเรียกร้องให้ รัฐบาล ยุติการควบคุม กดดัน สื่อกระแสหลัก และ สื่อกระบอกเสียงของพี่น้องประชาชน

ผมขอร่วมเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ เข้ามอบตัว เป็นผู้ต้องหาคดี สั่งฆ่าประชาชน

ผมขอเรียกร้องให้ รัฐบาลเร่งปฏิบัติการตามข้อเรียกร้องเหล่านี้ในทันที

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ข้อเสนอทางยุทธศาสตร์ เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ [13 พ.ค. 53]


ผมไม่ทราบว่า พี่วีระ ขอตัวไปพักเพราะอะไร ถึงแม้จะมีข่าวเรื่องที่พี่วีระ ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมต่อไปก็ตาม และ ผมก็ไม่ได้สนใจว่ารัฐบาลทรราช จะตัดน้ำตัดไฟ ตัดโทรศัพท์ ทำหอกอะไร เพราะมันไม่มีค่าอยู่ในสายตา

สิ่งที่ผมเป็นห่วง คือ เรื่องก้าวต่อไปของผู้ชุมนุม เรื่องความปลอดภัยของแกนนำผู้ชุมนุมทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น เรื่องอิสรภาพในการสื่อสารไม่ว่าจะเป็น people channel ทั้งวิทยุชุมชน ทั้งเวปไซท์ต่างๆ และเรื่องการดำเนินคดีกับทรราชผู้สั่งฆ่าพี่น้องประชาชน

ผมอยากจะขอนำเสนอทางเลือกทางยุทธศาสตร์ ให้แกนนำ ลองพิจารณาครับ

ประเด็นคือ รัฐบาลทรราชมันหน้ามืดมากๆครับ จากอาการที่ออกทีวีอยู่ทุกวี่วัน จึงเป็นไปได้สูงที่มันจะใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมอีกครั้ง ซึ่งเราก็ไม่อาจยอมให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงเช่นเมื่อ 10 เมษา ขึ้นอีกครั้ง แต่เราก็ยังเป็นห่วงเรื่องพลังในการกดดันให้ ทรราชเทือก มอบตัวเป็นผู้ต้องหา

ข้อเสนอของผมคือ เราควรจะย้ายสถานที่ชุมนุม ครับ

การย้ายสถานที่ชุมนุมจาก ราชประสงค์ ไปจุดอื่นในกรุงเทพ เช่น สนามหลวง จะเป็นการเคลื่อนไหวทางยุทธศาสตร์ที่ดี เช่น

๑. แกนนำยังได้รับการคุ้มครองจากพี่น้องประชาชน และ พี่น้องผู้ชุมนุมที่ยัง อยากสู้ (ตามหลักสันติวิธี) ก็ยังได้สู้ต่อ
๒. ผู้ชุมนุมยังสามารถ กดดัน ให้รัฐบาลส่ง ทรราชเทือกไปมอบตัว และ กดดันให้รัฐบาลคืน สื่อต่างๆ
๓. การ ย้าย ที่ชุมนุม เป็นการแสดงความจริงใจ ให้สังคมเห็นว่า จริงๆนะ นปช. พร้อมปรองดอง ตามข้อแม้ที่เสนอไป
๔. พี่น้องยังสามารถ ลด สกัด ความเคลื่อนไหวของ ทหารเลว ไม่ให้เปิดโอกาสใช้กำลังกับผู้ชุมนุม และถ้าใช้ สังคมก็จะกดดัน ศอฉ. อย่างมีใจร่วมกับ นปช.
๕. การ ย้าย จะช่วยลดความชอบธรรม และ ข้ออ้างที่ยังต่ออายุ พรก. ฉุกเฉินร้ายแรง และ พรบ. ความมั่นคง เพราะเราไม่ได้ขัดขวางการจราจรอีกต่อไป
๖. การย้ายที่ชุมนุม โดยที่การชุมนุมไม่ได้ยุติ จะสร้างความได้เปรียบในการเคลื่อนไหวได้มากขึ้น เช่น หากจะกดดัน DSI ก็ สามารถ เดินขบวนไปที่ DSI ได้โดยที่ไม่ถูกสกัด จากเจ้าหน้าที่ที่มีอาวุธ สงคราม
๗. การที่ นปช. ยอม “ย้าย” เพราะถูกรัฐบาล “รังแก” จะช่วยเพิ่มแนวร่วมทางสังคมได้ทั้งในระยะสั้น และ ระยะยาว

ทั้งเจ็ดข้อที่ผมเสนอ ทำได้โดยการ “ย้าย” สถานที่ชุมนุม ซึ่งผมมั่นใจว่า เป็นผลดีมากกว่าผลเสีย และไม่ได้ลดแรงกดดัน รัฐบาลทรราชชุดนี้แต่อย่างใด เพราะ ผู้ชุมนุมสามารถเคลื่อนที่ไปมาใน กรุงเทพฯ ได้อย่างรวดเร็ว

การตัดสินใจย้าย อาจจะปฏิบัติได้ยาก แต่ถ้าตัดสินใจไปแล้วถูกรัฐบาล หรือ ลิ่วล้อ อำมาตย์ชาติชั่ว ขัดขวาง ก็จะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้เราสามารถ ชุมนุมที่ราชประสงค์ต่อไป
ผมเชื่อมั่นว่า นี่จะเป็นทางออกทางยุทธศาสตร์ ที่ แกนนำน่าจะลองพิจารณาเปรียบเทียบ กับทางเลือกอื่นๆ ในสภาวะที่เราไม่อยากให้เกิดความสูญเสียขึ้นอีก

ผมต้องขอย้ำครับว่า

การย้ายทางยุทธศาสตร์ไม่ใช่การหนี หรือ ยอมแพ้

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เทพควาย ณ เทื๊อก เทือก

มันคงอยากให้ นปช. เลิกชุมนุมจนตัวสั่น จึงได้กลั้นใจ ทำ ควายแตก ไปจนได้

หลังจากที่แกนนำ นปช. แถลงการณ์ ตอบข้อเสนอของมาร์ค ดดยมีข้อแม้ว่า ถ้า นปช. จะเลิกชุมนุม ก็ ต้องให้ เทพเทือกไปมอบตัว ในข้อหาฆาตกร สั่งการฆ่าพี่น้องประชาชนเมื่อวันที่ 10 เมษายน

ทันทีทันใด มาร์ค สั่งให้ลิ่วล้อ ออกมาแถลงโต้ ว่าเทือกจะเข้าพบ ผอ. DSI ทันทีในวันรุ่งขึ้น มันคงจะคิดว่าประชาชนคนไทยโง่มาก จนหลงเชื่อคำลวงของมัน

มันคงคิดว่า เสร็จอั๊วะหล่ะคราวนี้ นปช. ต้องเลิกชุมนุมแน่ๆ เพราะมันเข้าไป DSI

ทำไม เทพเทือกมันควายอย่างนี้ มันไม่เข้าใจหรือว่า มันต้องไปมอบตัวในสถานะผู้ต้องหา ไม่ใช่ เข้าไปในถานะผู้ตรวจราชการ

มันคงวางแผนหลอกประชาชนอีกสิว่า “นั่นไง ผม (เทพเทือก) ไปมอบตัวมาแล้วทำไม นปช. ยังไม่เลิกชุมนุมอีก” แล้วก็ตามถนัด คงใช้สื่อต่างๆในมือใส่ร้ายประชาชนว่า “เห็นมั๊ย นปช. เป็นคนไม่ดี ไม่รักษาคำพูด”

มันไม่รู้หรือว่า พี่น้องประชาชนเค้าเข้าใจดีว่า คดีที่ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต เค้าไปแจ้งความไว้นั้น มันยังไม่ได้ส่งมอบให้ไปเป็นคดีพิเศษ เพราะฉะนั้น DSI จึงยังไม่มีอำนาจสอบสวนในคดีเหล่านี้

ทำไม ไอ้เทือกมันควายอย่างนี้ หรือ มันหลอกตัวเองว่าประชาชนคนไทยโง่มากหรืออย่างไร

ทำไมมันถึงคิดว่า คนทั่วไปเค้าจะเชื่อว่ามันไปมอบตัว คดีสั่งฆ่าประชาชนมาแล้ว

ประชาชนอย่างเราตอบไม่ได้ หรอกครับ

เพราะพวกเรา ไม่ใช่


อย่างไอ้



ที่มันเริ่มกลายพันธ์ไปแล้วทุกวัน

ถ้าพี่น้องไม่ทราบ ควายบ้านเรา ฝรั่งเขาเรียก water buffalo

ปล. ชื่อเรื่องอ่านว่า เทพ ควาย นะ เทื๊อก เทือก

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ขอให้พี่น้อง อย่ายอมแพ้ อย่าท้อแท้ พวกคุณคือกำลังใจ


ผมเห็น ผมรู้สึก ผมสัมผัสได้ถึงอุปสรรค ขวากหนามที่คอยทิ่มแทง บั่นทอนกำลังใจ บั่นทอนกำลังกาย อุปสรรคที่ผมเห็นชัดเจนจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากรัฐบาลปีศาจชุดปัจจุบัน รัฐบาลที่หวงอำนาจ กระหายความพินาศ รัฐบาลที่กระหายกลิ่นควันปืน เสียงระเบิด และ เลือดของพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์

อุปสรรคใหญ่หลวงของพี่น้องประชาชนผู้ชุมนุม คือ รัฐบาลทรราชหุ่นเชิดอำมาตย์ที่อำมหิตที่สุดในประวัติศาสตร์ ชาติไทย รัฐบาลที่ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตของคนไทยเกือบสามสิบชีวิต แต่ไม่มีความคิดที่จะรับผิดชอบใดๆ

อันธพาลใจเหี้ยมที่คอยลอบทำร้าย การดูถูกเหยียดหยาม การใส่ร้ายป้ายสีผ่านสื่อ ความไม่เข้าใจของคนกรุงในบางพื้นที่ การข่มขู่กดดันทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐ และ รัฐบาล คืออุปสรรคสำคัญที่พี่น้องประชาชนผู้มาชุมนุมจะต้องพบเจอ และ เป็นอุปสรรคที่รัฐบาลทรราชสร้างขึ้นอย่างหน้าด้านๆ

แสงแดดที่ร้อนแรง มลพิษของเมืองหลวง ก็เป็นอุปสรรคที่สำคัญเช่นกัน

สองเดือนที่ผ่านมา ผมรู้สึกทึ่ง ผมรู้สึกศรัทธรา ผมรู้สึกมีกำลังใจอย่างมากมาย จากพี่น้องประชาชนผู้ชุมนุม พี่น้องช่วยให้ผมมีกำลังใจที่จะยืนหยัดสู้ และ แน่วแน่มั่นคงที่จะร่วมสู้ต่อไปกับพี่น้องทุกคน

พี่น้องผู้ชุมนุมช่วยผมขจัดความท้อแท้ ความกังวล และ ความอ่อนล้าทางใจ พี่น้องผู้ชุมนุมยังช่วยเพิ่มความมั่นใจ เพิ่มกำลังใจให้ผม

พี่น้องคนเสื้อแดง พี่น้อง นปช. พี่น้องคนไม่มีสีไม่มีเส้น พี่น้องประชาชนที่ร่วมชุมนุม ทุกคนคือกำลังใจ ทุกคนคือฮีโร่ ทุกคนคืออัศวินม้าขาวที่จะช่วยผมกำจัด รัฐบาลปีศาจทรราชสมุนอำมาตย์หน้าไม่อาย ให้มันคืนอำนาจอธิปไตยกลับคืนสู่สังคมไทย

ผมขอแสดงความชื่นชม ความขอบคุณ ในสิ่งที่พี่น้องทำมาอย่างต่อเนื่องโดยสันติวิธี

ผมอยากบอกว่า ทุกคนคือกำลังใจของผม และ คนที่ผมรู้จักทุกคน ที่ร่วมต่อสู้เพื่อประเทศชาติ เพื่อให้พวกเราได้ลืมตาอ้าปาก ให้พวกเราได้ความเท่าเทียม ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง

ขอขอบคุณจากหัวใจครับ

นีโอคอน – 10 พ.ค. 2553

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ขบวนการหลอกต้มประชาชนเริ่มชัดเจนขึ้นแล้ว



นับวันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆกับขบวนการหลอกต้มประชาชน นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และบรรดาลิ่วล้ออำมาตย์ชาติชั่ว

ประชาชนยังไม่ทันหายสงสัยว่าทำไม มัน กลับกลายจาก หน้าเท้าเป็นหลังมือไปได้ ในเมื่อไอ้เทือกมันยังออกมาขู่ฆ่าจับตายแกนนำ จะสลายการชุมนุม ถ้าเผลอจะปราบ ถ้าขวางจะจับกุม ผ่านไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง ไอ้มาร์ค ออกมาบอกว่า จะให้เลือกตั้งใหม่ วันที่ 14 พฤศจิกายน มาร์คจะปรองดองภายใต้ 5 ข้อเสนอสร้างภาพ

คนเขาสงสัยว่า มันจริงใจหรือปล่าว ตุ๊ดแก่สั่งมาหรือปล่าว ลับลวงพลางอีกหรือปล่าว ผ่านไปไม่กี่วัน หางมันเริ่มโผล่เหมือนที่ประชาชนสงสัย ถึงขนาดค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นแผนหลอกต้ม ครั้งใหม่

ถ้ามันคิดจะปรองดองกับ นปช. จริงๆ มันคงไม่ปล่อยไอ้ไก่อู ออกมาพล่ามไร้มารยาทขัดกับคำพูดของมันเอง

ถ้ามันคิดจะปรองดองกับพี่น้องประชาชน มันคงทยอย ปล่อยให้ people channel และสื่อ หรือ กระบอกเสียง อื่นๆของพี่น้องประชาชนได้ทำหน้าที่ตามปกติโดยไม่มีการขัดขวาง

ถ้ามันคิดจะปรองดองจริงๆ ทำไมมันต้องออกมาขู่ว่า ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม ถ้าพี่น้องประชาชนไม่เลิกชุมนุมก็จะไม่ มีการเลือกตั้ง

ทำไมมันยังปล่อยให้ ลูกลิ่วลูกล้อ ออกมา พูดจาอาระวาด ยั่วยุ พี่น้องประชาชนอยู่ร่ำไป ถ้ามันคิดจะปรองดอง ทำไมมันให้กอปศักดิ์ ออกมาบอกให้ผู้หญิงและเด็ก กลับบ้านทันที

คำตอบคือว่า มันไม่ได้คิดจะปรองดองจริงๆ

คำตอบคือว่า มันแค่ถ่วงเวลา สร้างภาพ ลดแรงกดดัน จากสื่อ และ สังคม เพื่อหาทางใส่ร้ายป้ายสีพี่น้องประชาชนแบบใหม่ๆ

คำตอบคือว่า มันยังไม่อิ่มเอมกับอำนาจ และ ผลประโยชน์ มันยังสร้างภาพกลบความชั่วไม่มิด และ มันยังไม่เลิกคิดที่จะสลายการชุมนุม


คนเป็นนายกรัฐมนตรี ออกมานั่งหน้าทีวี บอกว่า รัฐบาลยอมทุกอย่างแต่ผู้ก่อการร้ายไม่ยอม ไอ้ผู้ก่อการร้ายนี่มันคงจะหมายถึง ประชาชนผู้ชุมนุม มันออกมาพูดอย่างนี้ได้ยังไง ไหนตัวเองเคยบอกว่าคนที่มาชุมนุมด้วยความบริสุทธิ์ใจก็มี

ขนาดเด็กๆฟังยังรู้เรื่องเลยว่า มันอ้างเหตุ อ้างมั่ว จะสร้างภาพให้พี่น้องประชาชนเป็นผู้ร้าย แถมยังบอกยกเลิกแผนปรองดองที่ตัวเองพูดออกมาหน้าด้านๆ เหมือนเลียน้ำลายที่พื้นกลับเข้าปากตัวเองใหม่

พี่น้องประชาชนยังไม่ทันหายสงสัย ว่าทำไมมันยอมง่ายๆ ที่ไหนได้ มันวางแผนไว้แล้ว ว่าไงๆ ก็ไม่ได้คิดจะปรองดองจริงๆ

นาทีที่พี่น้องประชาชนตัดสินใจกลับบ้าน มันก็จะเข้ากวาดจับแกนนำ ปิดลืมถาวร สื่อ และ กระบอกเสียงของพี่น้องประชาชน แล้ว ใส่ร้ายทางเดียว ว่า นปช. และ คนเสื้อแดงเป็นโจรเป็นผู้ร้าย

แค่มันอ้าปากยังไม่ทันเห็นลิ้นไก่ พี่น้องประชาชนเค้าก็จับโกหกได้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว

เห็นที่จะปรองดองกับมันไม่ได้ นปช. ต้องรีบเร่งดำเนินคดีมัน ทั้งในศาลไทย และ ระหว่างประเทศ

พี่น้องประชาชนควรจะเร่ง ดำเนินการตามแนวทางสันติวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเข้าชื่อถอดถอนมัน ระหว่างที่รอศาลพิจารณาคดียุบพรรค หรือ จะเป็นการขยายพื้นที่การชุมนุมให้ยาวออกไปในถนนสีลม

เรายังไม่เคยเห็นมัน ใส่ใจพี่น้องประชาชนแม้แต่เพียงชายหางตามามอง

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ระลึก รำลึก ระทึก ปิดฉากแป๊ะลิ๊ม หรือ มาร์คเล่นละคร

ต้องยอมรับว่าความเชื่อใจระหว่างกันและกันมันไม่เหลืออยู่ ระหว่างประชาชนผู้ชุมนุมและ นายกรัฐมนตรี ไม่ต้องพูดถึงความเชื่อใจระหว่างประชาชนผู้ชุมนุมกับแป๊ะลิ๊ม ซึ่งมันสูญสิ้นไปนานแล้ว และ มันไม่มีทางที่จะหวนคืนกลับมาได้แม้แต่นิดเดียว ระหว่างประชาชนผู้ชุมนุม และ มาร์ค นั้น ประชาชนเหลืออยู่เพียง บางเบายิ่งกว่าเส้นด้ายที่ใกล้ขาดรอน หรือ ใยแมงมุมที่กำลังโดนไฟรน

ข้อเท็จจริงเดียวที่พี่น้องประชาชนจะใช้ ตัดสินใจในความไว้วางใจ ที่จะมอบให้ชายไทยหนีทหารชื่อมาร์คนั้น มันเหลืออยู่เพียงการกระทำ และ ความประพฤติ นับจากนี้เป็นต้นไป

จากข้อมูลล่าสุดที่ได้รับการปิดเผยจาก นักการเมืองในพรรคแกนนำรัฐบาล ชี้ให้เห็นว่า สนธิลิ้ม หรือ แป๊ะลิ๊ม ของพวกเรานั้นได้หนีคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง จากการเผยแพร่ซ้ำ ข้อมูลการหมิ่นสถาบัน หนีไปกบดานอยู่ที่ฮ่องกง และกำลังจะถูกดำเนินคดีผู้ก่อการร้ายสากล จากกิจกรรมยึดสนามบิน ของพันธมิตร

ดูเผินๆเหมือน มาร์ค กำลังจะเริ่มปล่อยให้ คดีต่างๆดำเนินไปตามระบบ ดูเหมือนกำลังพยายามจะลดข้อครหาเรื่องสองมาตรฐาน หลังจากที่คดีเหล่านี้ถูกดองเอาไว้เป็นเวลากว่า ปี


การปิดสนามบินมีหลักฐาน เป็นประกาศจาก แถลงการณ์พันธมิตรฉบับ 26/2551ให้ยกระดับการชุมนุม และเพิ่มมาตรการอารยะขัดขืนโดยการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ สร้างความเสียหาย 2.9 แสนล้านบาท ประเมินโดยเจ้าหน้าที่จากธนาคารแห่งประเทศไทย และ พยานในคดีก็เป็น ผอ. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งได้เป็นพยานคดีที่ ศาลแพ่งสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ พันธมิตรออกจากพื้นที่สนามบิน ยุติการปิดสนามบิน ทั้งหมดนี้มีหลักฐานชัดเจน

แต่เนื่องจากความเชื่อใจระหว่าง ประชาชนที่มีต่อมาร์ค นั้น แทบเรียกได้ว่าไม่เหลืออยู่แล้ว ดังนั้นประชาชนจะต้องรอดูพฤติกรรม ว่ามาร์คจะเอาจริงกับ พันธมิตรหรือไม่

และที่สำคัญ มาร์ค ต้องเร่งแสดงความจริงใจที่จะปรองดองโดยการยกเลิก พรก. ฉุกเฉินร้ายแรง, พรบ. ความมั่นคง และ ถอนทหารออกจากกรุงเทพฯ รัฐบาลจะต้องเร่งคืนช่องทางการสื่อสารของพี่น้องประชาชน โดยการยกเลิกคำสั่งปิดกั้น ทีวี วิทยุ อินเตอร์เนต และ สื่อสาร อื่นๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีอาญาต่างๆ ในทันที

หากทำเช่นนี้ มาร์ค จะยังคงสามารถเก็บรักษา เส้นด้ายที่ใกล้ขาดรอน ฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ แต่ถ้าหาก มาร์คไม่ยอมปฏิบัติกิจการที่กล่าวข้างต้น ก็จะทำให้ประชาชนคิดได้ว่า นั่นเป็น เพียงการเล่นละคร

เป็นเพียงละครตบตาประชาชน จากคนที่มีจิตใจอำมหิต อย่างที่มิอาจให้ความหวังได้

จริงใจ หรือ เล่นละคร การกระทำต่อจากนี้จะเป็นประเด็น

วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มาร์ค ขอ เลือกตั้ง 14 พ.ย. 53 จริงใจ หรือ ลวงหลอก


ข้อเสนอที่จะให้มีการเลือกตั้งใน วันที่ 14 พฤศจิกายน นั้น หมายความว่า รัฐบาล จะต้องยุบสภา ก่อนวันที่ 14 อย่างเร็ว ไม่เกิน 45 ถึง 60 วัน นั่นคือจะมีการยุบสภา วันที่ 14 กันยายน ไม่เกิน ต้นเดือน ตุลาคม ซึ่ง ไม่ได้แตกต่างจากการ เจรจา ระหว่าง มาร์ค กับแกนนำ นปช. ในคราวที่แล้ว ก็คือ มาร์คเสนอยุบสภาปลายปี

ถึงแม้นว่า มาร์ค จะเปลี่ยน ข้อเรียกร้องของตนเอง ก็ไม่ได้เป็นการ ลด หรือ ยอม หรือ แสดงความจริงใจ แต่อย่างใด

ท่านผู้อ่านคงจะสังเกตได้ว่า เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นของ มาร์ค ทั้งสามข้อนั้นทำให้รัฐบาลต้องเสียรังวัดไปพอสมควร ดังนั้นคราวนี้ จึงต้อเปลี่ยนข้อเสนอใหม่ ให้ประชาชนฟังแล้ว ดูดี ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง

เราลองมาทบทวน ข้อแม้ สามข้อแรก ที่ มาร์ค ขอมา ครับ

ข้อแรก ขอผ่านงบประมาณปีต่อไปก่อน ข้อที่สอง ขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ ข้อสุดท้าย ขอสร้างสถานการณ์

ทั้งสามข้อฟังไม่ขึ้น เพราะ ประชาชนเชื่อว่า หากปล่อยให้ผ่านงบประมาณไป ก็ จะลงเอย คล้ายๆกับความประพฤติ กู้มาโกง เหมือนที่ผ่านมา ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เป็นเพียงการแก้ไขสถานการณ์ของรัฐบาลเอง ที่ถูกกดดันโดยพรรคร่วมรัฐบาล และ พยายามหนีความผิดจากการยุบพรรค ซึ่งชัดเจนขึ้นทุกวัน ส่วนการสร้างสถานการณ์นั้น มาร์ค อ้างว่า เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ มีการเลือกตั้งที่ยุติธรรม แต่แท้จริงแล้ว แฝงไปด้วยขั้นตอนที่เอาเปรียบคู่แข่ง เพราะจะเป็นการดึงเวลา เพื่อโยกย้ายข้าราชการประจำ แต่งตั้ง ผบ. ทบ. ให้ ตนเองและพวกพ้อง มีโอกาส ที่จะชนะการเลือกตั้งที่ตนเองควบคุม มากขึ้น

เมื่อข้อเสนอสามข้อ ใช้เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ประชาชนไม่ยอมรับ ดังนั้น มาร์ค ต้องกลบเกลื่อน ข้อเรียกร้องเหล่านั้น โดยการเพิ่มข้อเรียกร้อง อีก ห้าข้อ ที่เพิ่งจะประกาศไปเมื่อวานนี้ คือ

(1)ส่งเสริมสถาบันกษัตริย์, (2) ปฏิรูปประเทศ, (3) ปฏิรูปสื่อ, (4) ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เหตุการณ์ความรุนแรงต่างกรรมต่างวาระ และ (5) แก้รัฐธรรมนูญ และ นิรโทษกรรม คดีการเมือง

ข้อเรียกร้องใหม่ ห้าข้อ รวมกับ ข้อเรียกร้องเดิม สามข้อ เป็น แปดข้อ มาร์ค ขอแลกกับการจัดการเลือกตั้ง ในวันที่ 14 พฤศจิกายน

ข้อเสนอเรื่องการ ส่งเสริมสถาบันกษัตริย์นั้น เป็นเรื่องที่ประชาชนทุกฝ่ายต่างต้องการ ดังนั้นจึงเป็นการพูดเพื่อให้ดูดีเท่านั้น เพราะมีเพียง รัฐบาลเอง เท่านั้น ที่ใช้สถาบันเป็นเครื่องมือ ในการทำร้ายประชาชนผู้ชุมนุม หากรัฐบาลเลิกกล่าวหาใส่ร้าย ประชาชน ว่าเป็นขบวนการล้มเจ้าแล้ว การส่งเสริมสถาบันกษัตริย์ ก็ จะเข้าสู่ภาวะปกติ

ข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปประเทศนั้น แน่นอนว่าจะต้องผ่านงบประมาณ ให้ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็น สวัสดิการต่างๆ รายได้ของประชาชน อาชีพ และ ความมั่นคง นั้น ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น ดังนั้นข้อสองจึง เต็มไปด้วยวาระซ่อนเร้น และเป็นแผน การหาเสียงตามแนวทางอภิมหาประชานิยม เหมือนเคย

ข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสื่อนั้น รัฐบาลไม่ได้มีความจริงใจแต่อย่างไร สื่อทางเลือกของผู้ชุมนุมยังคงถูกปิดกั้น และ สื่อรัฐ อำนาจรัฐ ยังคงถูกใช้ให้นำเสนอด้านเดียว กดดันสื่อกระแสหลัก สร้างข่าวกลบข่าว ไม่ให้ประชาชนที่มีความคิดแตกต่างจากรัฐบาลได้มีพื้นที่ผ่านสื่อ และก็มีเพียงรัฐบาล เท่านั้นที่สร้างความขัดแย้งผ่านสื่อรัฐ และ สื่อกระแสหลัก

ข้อเสนอเรื่อง การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เหตุการณ์ความรุนแรงต่างกรรมต่างวาระ นั้น รัฐบาลได้เป็นผู้ปิดโอกาส ที่ประชาชนนำเสนอผ่านพรรคฝ่ายค้านมาตลอด ตอนนี้ รัฐบาลทำลายหลักฐานไปเยอะแล้ว โดยไม่มีการ ชันสูตร โดยเฉพาะ ศพทหาร ที่รีบเผาไปแล้ว

ข้อเสนอสุดท้าย คือ แก้รัฐธรรมนูญ ที่แฝงด้วยการนิรโทษกรรมตนเองและ พวกพ้อง ถึงแม้ว่า มาร์ค จะอ้างว่าการดำเนินคดีต่างๆจะยังคงดำเนินต่อไป ก็เป็นคดีอาญาที่ไม่อาจนิรโทษกรรมเท่านั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่า ทำเพื่อประชาชนนั้น เป็นเพียงข้ออ้าง เพราะ มาร์ค ภายใต้ ปชป. ไม่เคยมีจุดยืนเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกใช้งานมา

ข้อเสนอใหม่ทั้งห้าข้อนี้ แฝงไปด้วยสามข้อเสนอเก่า ไม่มีอะไรแตกต่าง เพียงแค่ พูดให้ดูดีขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มาร์ค ได้มีความชัดเจน ในเรื่องของวันเลือกตั้ง ซึ่งไม่มีอะไรสามารถรับประกันได้ ว่าถึงเวลาแล้วจะปฏิบัติตามสัญญาหรือไม่

ดังนั้นผู้เขียนจึงขอเสนอให้ แกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน อย่าได้รีบรับข้อเสนอของมาร์ค แกนนำสมควร เสนอให้ รัฐประกาศ ให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 สิงหาคม ซึ่งจะเป็นการพบกันครึ่งทาง และ ประชาชนผู้ชุมนุมก็จะได้สบายใจว่า รัฐบาลจะไม่คิดแผนชั่ว ซ้อนแผนหลอกลวง ที่ป่าวประกาศออกมา

หากมาร์ค ยอมรับข้อเสนอให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 สิงหาคม นั่นหมายความว่า รัฐบาลจะต้องประกาศยุบสภา ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน ไม่เกิน ต้นเดือน กรกฎาคม โดยมีข้อแม้ว่า นปช. จะชุมนุมต่อไป จนกว่า จะมีการประกาศยุบสภา

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

หยุด!!! หยุดใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมือง


เมื่อรัฐบาลไม่อาจลดความชอบธรรม ของประชาชนผู้ชุมนุมเรียกร้องให้มีการยุบสภา ด้วยวิธีการใดๆ รัฐบาล โดยเฉพาะ ศอฉ. ก็มิควร แสดงความบังอาจ ใช้ สถาบันเบื้องสูงเป็นเครื่องมือทางการเมือง มิควรใช้สถาบันเบื้องสูงมาเป็นประเด็นกล่าวหา ใส่ร้ายประชาชนผู้ชุมนุม เพื่อที่รัฐบาลจะได้ใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามตามอำเภอใจ

ผู้เขียนขอประณาม ศอฉ. โดยเฉพาะ นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ปล่อยให้มีการใช้สถาบันเบื้องสูง มาเป็นเครื่องมือในการทำลายความชอบธรรมของการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญของประชาชนคนเสื้อแดง หรือ กลุ่ม นปช.

ผู้เขียนขอเชิญชวน ท่านผู้อ่านร่วมรณรงค์ เรียกร้อง ให้รัฐบาล โดยเฉพาะ ศอฉ. เลิกใส่ร้าย กล่าวหา ผู้ใด ว่าเป็นส่วนร่วมในขบวนการล้มเจ้า ล้มสถาบัน ผ่านสื่อใดๆ เพราะจะเป็นการโหมโฆษณาให้ชาวโลกได้เห็น ถึงความเติบใหญ่ และ เติบโต ของขบวนการเหล่านี้

สิ่งที่ ศอฉ. สมควรปฏิบัติ คือการดำเนินคดีตามกฎหมายที่มีอยู่ ดังเช่น ผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ

การโหมกระแส ขบวนการล้มเจ้า ล้มสถาบัน ผ่านสื่อต่างๆ ของ ศอฉ. ของ รัฐบาล ของ พันธมิตร เป็นการช่วยโฆษณา อย่างตั้งใจ และจะเป็นการสร้างความขัดแย้งร้าวลึก ในสังคมไทย เป็นการกระทำที่ไร้ความเป็นธรรม กับประชาชนที่ถูกกล่าวหา

การโหมกระแส ขบวนการล้มเจ้า ล้มสถาบัน ผ่านสื่อต่างๆ เป็นเพียงความตั้งใจที่จะแย่งชิงมวลชน ทางการเมือง เป็นเรื่องที่มิสมควรกระทำ เป็นเรื่องที่รัฐบาล พยายามสร้างแนวร่วม ต่อต้านประชาชนที่จงรักภักดี แต่เห็นต่างจากรัฐบาลในเรื่องของการ ยุบสภา

หาก ศอฉ. รัฐบาล พันธมิตร และ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ยังไม่เลิก เล่นการเมือง โดยใช้ สถาบันเบื้องสูง เป็นประเด็นใส่ร้าย การชุมนุมของประชาชน

ประชาชนทั่วไปก็มิอาจ คิดเป็นอื่นไปได้ นอกจากว่า รัฐบาลตั้งใจดึงสถาบัน มาเป็นเครื่องมือ ในการทำลายศัตรูทางการเมือง

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

อภิสิทธิ์ ดึงฟ้าต่ำ ค้ำยันเก้าอี้แห่งอำนาจ


แต่ไม่ว่าเครือข่ายดังกล่าวมีจริงหรือไม่? หรือแผนผังดังกล่าวเป็นจริงหรือเท็จ? มันล้วนเป็นประเด็นต่างหากออกไปจากหน้าที่ทางการเมืองที่แท้จริงของแผนผังเครือข่ายล้มเจ้า นั่นคือการส่งสารถึงคนไทยว่า:

หากท่านไม่ยอมรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่าเป็นของท่านและไม่ยอมทำตามคำสั่งของรัฐบาล เพราะท่านเห็นว่ารัฐบาลนี้ฟอร์มขึ้นในค่ายทหารร่วมกับกลุ่มการเมืองยี้ก็ดี หรือเพราะรัฐบาลนี้ปราบม็อบผิดพลาดจนทำคนตายกว่ายี่สิบและบาดเจ็บหลายร้อยก็ดี

ไม่เป็นไร เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน ขอให้ท่านหันมายอมรับรัฐบาลนี้เป็นของท่านและทำตามคำสั่งของรัฐบาลเสียใหม่ในฐานะที่รัฐบาลนี้เป็นผู้ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้จากเครือข่ายล้มเจ้าตามแผนผังของรัฐบาลที่ยังรอหลักฐานการพิสูจน์เทอญ!

และแล้วต้นทุนการเมืองวัฒนธรรมก้อนสุดท้ายของรัฐชาติไทยก็ถูกล้วงหยิบฉวยใช้มาชะลอความเสื่อมทรุดผิดพลาดเฉพาะหน้าของรัฐบาลอย่างนั้นเอง.....


บทความของเกษียร เตชะพีระ ข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งของบทความซึ่งกล่าวถึง แผนผัง ขบวนการล้มเจ้า ในจินตนาการของ ศอฉ. ซึ่งเวลานี้ ประชาชนได้แปลความไปเป็น ศูนย์อำนวยความฉิบหายวายวอดไปแล้ว นาทีนี้ คุณ เกษียรได้เขียนให้เห็นภาพชัดเจนกว่าใครๆที่ผมได้อ่านมาเกี่ยวกับ แผนผัง ที่เปิดเผยโดย ศอฉ. เมื่อไม่กี่วันมานี้

คนที่มีชื่ออยู่ในแผนผัง อย่าง สมศักดิ์เจียมฯ ยังออกมาขำ และ วิเคราะห์ว่า
"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: กำลังแต่งภาพละครแขวนคอ"

ความเฉียบคมของท่านผู้อ่านหลายท่านที่ได้สนทนากันผ่านโลกไซเบอร์ ได้แสดงให้เห็นกันชัดเจนแล้วว่า แผนผังนี้เป็นเพียง หมากตาหนึ่ง ที่ รัฐบาล เลือกเดิน เพื่อชัยชนะของตน ไม่ใช่ชัยชนะของประเทศชาติ ดังที่รัฐบาลกล่าวอ้าง แต่อย่างใด

วันนี้หากท่านผู้อ่านถามใคร ก็จะได้คำตอบเป็นภาพที่ชัดเจน ให้เห็นว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ต่อเนื่องที่รัฐบาลปฏิบัติ กล่าวคือ

ใส่ร้ายประชาชนผู้ชุมนุมตั้งแต่ต้น (1) ว่าเป็นพวกที่ไร้อุดมการณ์ ไร้การศึกษา ถูกจ้างมา และ อภิสิทธิ์ ก็ มายอมรับทีหลังว่า คนส่วนใหญ่มาชุมนุมด้วย ความบริสุทธิ์ใจ, (2) จากนั้น ใส่ร้ายว่า เป็นพวกหัวรุนแรง ชอบความรุนแรง แต่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์รุนแรงใด จนเป็นคดีความให้เห็นตามสื่อเลยแม้แต่นิดเดียว, (3) จนมาถึงข้อครหาเรื่อง ผู้ก่อการร้าย ทั้งๆที่อภิสิทธิ์ เอง ที่สั่งให้เจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธสงคราม รถถัง และ กระสุนจริง เข้าสลายการชุมนุมในยามค่ำมืด จนเป็นสาเหตุให้เกิด ความสูญเสียต่อชีวิต และ ร่างกายของประชาชนจำนวนมาก, และ (4) ในที่สุด รัฐบาล ก็ได้เลือกสถาบันเบื้องสูง ดึงลงมาเป็นอาวุธสุดท้าย เพื่อสร้างความชอบธรรมในการสลายการชุมนุมของประชาชน ปราบปรามประชาชนที่ไม่ยอมรับตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี

เมื่อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ สถาบันเบื้องสูง เป็นเรื่องที่ระเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่ง่ายต่อการกระทบกระทั่งจิตใจ กระทบกระทั่งต่อความศรัทธรา ของประชาชนจำนวนมาก

กลยุทธ์นี้ ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ต่อเนื่องมาจากกระแสที่ กลุ่มพันธมิตร ได้เคยสร้างขึ้น คือ พยายามใส่ร้ายศัตรูทางการเมืองให้เป็น ผู้ไม่หวังดีต่อสถาบัน รัฐบาล และ ศอฉ. กำลังดำเนินการตามแนวทาง พันธมิตร เพียงแต่เปลี่ยนตัวนำ จาก แป๊ะลิ้ม มาเป็น เนรวิน แท็กทีม กับไก่อู สันดาน โดยกำเนิด ที่ออกมาเผยแพร่แผนผังนี้ ควบคู่ไปกับความเคลื่อนไหวของ หลากสีลายด่างก่อนหน้านี้ ที่เปิดไพ่ เคลื่อนไหว อ้างว่าปกป้องสถาบัน ควบคู่ไปกับ

เนรวินที่เงียบไปนาน ก็ ออกมาบีบน้ำตา อีกครั้งหลังแพร่ภาพ พลเอก ชวลิต นาน หนึ่งนาทีสิบเก้าวินาที ทั้งๆที่ ภาพวีดีโอ นั้นยาวหนึ่งชั่วโมง ประกอบกับ หนังสือ ที่มีท่วงทำนอง ส่งเสริมสถาบันเบื้องสูง ที่ พลเอก ชวลิต เผยแพร่ออกมาในเวลาเดียวกัน

ไม่ต้องพูดถึง สื่อ อย่างช่องสิบเอ็ด ที่นำ เจิมสาก เสรี มาออกทีวี หรือแม้แต่ ตัวหนังสือที่วิ่งวุ่นบนขอบล่างหน้าจอทีวี ต่างก็เป็นพฤติกรรมที่ชี้ให้เห็น ความเคลื่อนไหวของกลยุทธ์ ใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทั้งสิ้น

ความพยายามในการเชื่อมโยง ขบวนการประชาชนที่มาเรียกร้องให้ยุบสภา เข้ากับขบวนการล้มเจ้า โดยใช้พลังการจินตนาการขั้นสุดขั้ว ของ ศอฉ. และความพยายามที่จะใช้ ควบคุมนำเสนอ ข้างเดียว ผ่านสื่อ ต่างๆ

เป็นความพยายามปิดปาก ยัดเยียด ไม่ให้ประชาชนคนไทย เห็นต่างจากรัฐบาล ไม่ให้ประชาชนเรียกร้องให้ รัฐบาลยุบสภาโดยเร็ว

เป็นการบังคับให้ประชาชนทนอยู่กับรัฐบาล ที่อ้างเจ้า อ้างสถาบัน ดึงฟ้าต่ำ ทำหินแตก แยกแผ่นดิน อย่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ ในปัจจุบัน

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

ยุบสภาทันที ทางออกที่เหมาะสมที่สุด

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 เมษายน 2553 ไม่ได้เป็นความสูญเสียครั้งสุดท้าย ของ วิกฤติการเมืองไทย เมื่อ 22 เมษายน 2553 ได้มีความสูญเสียเกิดขึ้นอีกครั้ง และ ยังมีสัญญาณความรุนแรง ที่ยังคงกดดันสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความหวาดระแวงว่า จะมีความสูญเสียเกิดขึ้นอีกครั้ง


สัญญาณความรุนแรง เกิดขึ้นจากรัฐบาล ศอฉ. หรือ ผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี โฆษก ศอฉ. และ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ทั้งนี้ผู้มีอำนาจได้มีความพยายาม และ ได้แสดงจุดยืน อยู่เสมอ ที่จะใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าสลายการชุมนุม หรือ การใช้กำลังขอคืนพื้นที่ หรือ แม้แต่ การปราบปรามผู้ชุมนุม

ประกอบกับความเคลื่อนไหว ของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เรียกร้องให้ประกาศกฎอัยการศึก และ ใช้กำลังจัดการ ประชาชน ในสองชั่วโมงก็เรียบร้อย และ ถ้ารัฐบาลไม่ทำ พันธมิตร ก็ จะทำเอง อีกทั้งยังมีสัญญาณ ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันระหว่าง รัฐ และ พันธมิตร ที่กำลังดำเนินกิจกรรม ดึงสถาบันเบื้องสูง ลงมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง สร้างความเกลียดชัง และ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลังกับ ประชาชนคนไทย ซึ่งมีความคิดที่แตกต่างจากรัฐบาล

เหล่านี้เป็นสัญญาณบอกเหตุ ว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้น หากรัฐบาลตัดสินใจใช้กำลังเจ้าหน้าที่ เข้าสลายการชุมนุม

ทั้งนี้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยง ความรุนแรงที่อาจก่อให้เกิดความสูญเสีย และ หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิด ความเกลียดชังร้าวลึก ขึ้นในสังคมไทย ทางออกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับวิกฤตินี้ คือ

“นายกรัฐมนตรี สมควรยอมเสียสละ ลงจากอำนาจด้วยการ ยุบสภาทันที เพื่อให้โอกาส พี่น้องประชาชนจำนวนนับ ล้าน ล้าน ได้ เลือกรัฐบาลชุดปัจจุบัน เลือกนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ให้กลับเข้ามาทำหน้าที่อีกครั้ง ให้ประชาชนที่สนับสนุน นายก อภิสิทธิ์ ได้มีโอกาส แสดงให้ นปช. แดงทั้งแผ่นดินได้เห็นว่า คนส่วนใหญ่ของประเทศ สนับสนุนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ดังที่รัฐบาลได้โฆษณาไว้”

เพียงเท่านี้ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ก็จะหมด เงื่อนไข หมดความชอบธรรม ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อต่อต้าน นายกอภิสิทธิ์ ในข้อครหาต่างๆเหล่านี้ คือ

นายกรัฐมนตรี เข้าสู่อำนาจโดยมิชอบ

เป็นรัฐบาลหุ่นเชิด ของอำมาตย์ ที่ไม่ได้มาจากพี่น้องประชาชนคนไทย

รัฐบาลกู้มาโกง ไม่เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่

รัฐบาลทรราช ไม่แสดงความรับผิดชอบ ต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น จากการใช้กำลังเจ้าหน้าที่

รัฐบาลชี้นำรัฐสภา ด้วยการต่อรองผลประโยชน์กับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อความอยู่รอดของตน

ซึ่งหากว่า นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุบสภาโดยเร็ว รัฐบาลก็ยังคงต้อง รักษาการต่อไปอีก ไม่ต่ำกว่า 45 ถึง 60 วัน และ ยังคงมีอำนาจเหนือ ข้าราชการประจำ ในช่วงเวลารักษาการ

รัฐบาลจะยังสามารถ รักษาภาพ ประชาธิปไตยใสสะอาด ไว้ได้ไม่มากก็น้อย

เชื่อเถอะครับว่า ประชาชนที่สนับสนุนคุณอภิสิทธิ์ ก็ จะยังคงสนับสนุนต่อไป ไม่เสื่อมคลาย ดังนั้น นายก ควรจะใช้โอกาสนี้ จัดการเลือกตั้งใหม่ ให้โอกาสพี่น้องประชาชน ได้เลือก พวกคุณ อีกครั้ง

ทำไมต้อง “ไม่” ยุบสภา

[ภาพถ่าย แก๊งหมอตุลย์ หมาเมิน]

หากผู้อ่านจะถามหาเหตุผลว่าทำไมถึงมีคนออกมาเรียกร้อง ให้รัฐบาล “ไม่ต้อง” ยุบสภา และให้เดินหน้าปราบปรามผู้ชุมนุม นปช. แดงทั้งแผ่นดิน แล้ว ข้อเรียกร้องของคนเหล่านี้ ชอบธรรม ตามหลักประชาธิปไตยหรือไม่ หรือว่ามีความตื้นลึกหนาบางอย่างไร ทำไม รัฐบาลจึงมีท่าทีตอบสนองคนกลุ่มนี้มากกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกร้องให้ยุบสภาในทันที

หากท่านผู้อ่านจะเริ่มพิจารณาจาก จุดเริ่มต้น ของการเรียกร้อง ท่านผู้อ่านคงไม่สามารถหนีพ้นจากการเริ่มต้นพิจารณาที่แกนนำในการเรียกร้อง จากนั้นจึงพิจารณาข้อเรียกร้อง พิจารณาเหตุผลที่ใช้สนับสนุนข้อเรียกร้อง และ พิจารณา วิธีการ ที่จะนำพากลุ่มคนหลากสีไปสู่จุดมุ่งหมาย คือ นายกไม่ต้องยุบสภา

บุคคลซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น ของขบวนการหลากสี ก็คือ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ หรือ หมอตุลย์ นั่นเอง หลังจากที่หมอตุลย์ ได้แอบตรวจเลือดคนเสื้อแดงแล้วจงใจเผยแพร่ออกสื่อสาธารณะว่า พบ เลือดวัว เลือดควาย ไวรัสเอดส์ ไวรัสตับอักเสบ จำนวนมาก จากเลือดที่ไปแอบตักมาจากพื้น หลังจากที่ นปช. นำไปเทที่ทำเนียบนั้น หมอตุลย์ก็หายเงียบไป จนออกมาเปิดตัวอีกครั้ง หลังเหตุการณ์ ฆ่าประชาชนที่สี่แยกคอกวัว

หมอตุลย์ เป็นสมาชิกของกลุ่มโหนเจ้า หรือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชัดเจน ทั้งการยึดทำเนียบ การยึดสนามบิน หมอตุลย์มีส่วนร่วมด้วยทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไม ทุกย่างก้าวหมอตุลย์ เดินตรงข้ามกับเส้นทางของ นปช. ตลอดเวลา

ผู้อ่านจึงสามารถที่จะสรุปได้ในส่วนของ แกนนำว่า เบื้องหลังนั้น มีอคติ แอบแฝงอยู่ในการกระทำของแกนนำคนหลากสีแน่นอน

จากนั้นท่านผู้อ่านจึงพิจารณาข้อเรียกร้องหลัก ของกลุ่มเสื้อหลากสีที่มีแกนนำซึ่งมีอคติ นั้น ชอบธรรมหรือไม่

ข้อเรียกร้องของกลุ่มหลากสีนำโดยหมอตุลย์นั้น มีข้อเรียกร้องหลักอยู่สองข้อคือ (1) เรียกร้องให้นายก ไม่ต้องยุบสภา และคัดค้านข้อเรียกร้องของ นปช. ที่เรียกร้องให้มีการยุบสภา และ (2) เรียกร้องให้รัฐบาลคืนความสงบสุขให้แก่สังคม – ผู้เขียนเห็นว่าข้อเรียกร้องทั้งสองนั้นเป็นข้อเรียกร้องที่ สามารถแสดงออกได้ตามสิทธิที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ

จากนั้นท่านผู้อ่านสามารถที่จะเริ่มพิจารณา เหตุผลที่ใช้ประกอบข้อเรียกร้อง ของกลุ่มหลากสีทั้งสองข้อ ว่าท่านผู้อ่านเห็นด้วยกับเหตุผลหรือไม่

ข้อเรียกร้องเพื่อไม่ให้ยุบสภานั้น กลุ่มหลากสี เชื่อว่า มาร์ค ยังคงเป็นผู้นำที่มีความชอบธรรม การยุบสภาไม่ใช่ทางออกของปัญหา และ จะก่อให้เกิดวงเวียน หรือ วงจร เดิมๆซ้ำอีก เช่น หากมาร์คยุบสภาแล้ว ประชาชนเลือก มาร์คให้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก ก็จะมีกลุ่ม นปช. ออกมาประท้วงอีก กลุ่มหลากสีจึงเสนอให้ นายก ปฏิรูปประเทศก่อนที่จะมีการตัดสินใจยุบสภา

ในส่วนข้อเรียกร้องที่จะให้รัฐบาลคืนความสงบสุขให้แก่สังคมนั้น คนหลากสีอ้างว่า เพราะกลุ่ม นปช. เป็นผู้ใช้ความรุนแรง ไม่เอาสถาบัน และ ริดรอนสิทธิของประชาชนโดยทั่วไป ทำให้สังคมไม่สงบสุข จึงต้องให้ผู้มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย ให้คืนความสงบสุขกลับมาให้พวกเขา

จากเหตุผลประกอบข้อเรียกร้อง ท่านผู้อ่านต้องพิจารณาให้ชัดเจนว่า ชุดความคิดของผู้เรียกร้อง เป็นชุดความคิดที่ตกผลึก และ ยุติธรรมหรือไม่ เหตุผลประกอบข้อเรียกร้องแรก ผู้เรียกร้องมั่นใจได้อย่างไรว่า ใครจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน เหมือนกับชุดความคิด ที่ดูถูกคนอื่นว่า “โง่” “ขาดข้อมูล” และ “ซื้อเสียงได้” กล่าวคือ หากมาร์ค กลับมาเป็นรัฐบาลอีก นปช. ก็จะกลับมาประท้วงอีก ซึ่งเป็นชุดความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย คือ ไม่ยอมรับในสิทธิและความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่าย ทั้งยังเป็นการดูถูกล่วงหน้าอีก เช่น เมื่อคนส่วนใหญ่เลือกมาร์คกลับมาอีก นปช. ซึ่งประกอบด้วยประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสน จะไม่รักษาสัจจะ หรือ อ้างว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร คือ กลุ่มคนหลากสีสรุปไปแล้วว่า ประชาชนเป็นโจร

สืบเนื่องมาจนถึงเหตุผลประกอบข้อเรียกร้องที่สอง คือ พูดให้ดูไพเราะ ว่า ให้รัฐบาลคืนความสงบสุข แต่แท้จริงแล้วคือการเรียกร้องให้ มาร์คใช้กำลังปราบปราม นปช. อย่างเด็ดขาด ซึ่งจะเห็นเป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะ วิธีการ ที่ใช้ในการเรียกร้อง มองเผินๆคือการชุมนุมเรียกร้อง และ ยื่นหนังสือ เหมือนการชุมนุมทั่วไป แต่เนื้อหาสาระ ที่เผยแพร่ กลับ สร้างความเกลียดชังและเพิ่มความขัดแย้งอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

กลุ่มคนหลากสี ใช้วิธีการ ดึงสถาบันเบื้องสูงลงมาเป็นเครื่องมือ ใสร้ายกลุ่ม นปช. โดยกล่าวหาว่า คนเสื้อแดงต้องการล้มล้างสถาบัน ยังมีการใส่ร้ายว่า คนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นพวกใช้ความรุนแรง เป็นพวกไม่มีความคิด คือ “โง่” “ขาดข้อมูล” และ “เงินซื้อได้”

สุดท้ายท่านผู้อ่านลองพิจารณาผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้นจากข้อเรียกร้อง ของกลุ่มเสื้อหลากสี ซึ่งจะมีผลลัพท์และทางออกให้แก่สังคมในทางใด ผู้เขียนจึงได้มอง ผลลัพท์ จากข้อเรียกร้อง ซึ่งอาจจะนำไปสู่เหตุการณ์ต่อไปนี้ (1) รัฐบาลไม่ยุบสภา นปช. ไม่เลิกชุมนุม จนรัฐบาลสลายการชุมนุมแล้ว นปช. กลับมาชุมนุมใหม่ (2) รัฐบาลไม่ยุบสภา นปช. ไม่เลิกการชุมนุม จนรัฐบาลสลายการชุมนุม แล้ว มีผู้โกรธแค้นใช้ความรุนแรงตอบโต้รัฐบาลและผู้สนับสนุนรัฐบาล (3) รัฐบาลไม่ยุบสภา นปช. ไม่เลิกชุมนุม พันธมิตรนำประชาชนเข้าสู้กับ นปช. จนเกิดความโกลาหลแล้ว ทหารทำรัฐประหาร แล้วมีประชาชนออกมาต่อต้านการรัฐประหาร

ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ผลลัพท์ที่เป็นไปได้จากข้อเรียกร้องของ หมอตุลย์และพวก ไม่ว่าจะออกมาในแนวทางใด มีความเสี่ยงที่จะเกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน ของประชาชนทั้งสิ้น

จากการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้ว ท่านผู้อ่านสามารถสรุปได้จากการพิจารณา แกนนำ พิจารณาข้อเรียกร้อง พิจารณาเหตุผลประกอบข้อเรียกร้อง พิจารณาวิธีการ และ พิจารณาความเป็นไปได้ของผลลัพท์จากข้อเรียกร้อง แล้ว ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ชัดทันทีว่า

กลุ่มหมอตุลย์ และ พวก กำลังดำเนินกิจกรรม ที่จะนำสังคมไทยไปสู่วงจรอุบาทว์ วงเวียนกรรม และ ความสูญเสียครั้งใหญ่ ภายใต้ข้อเรียกร้อง และ วิธีการที่กำลังปฏิบัติกันอยู่

การเรียกร้องไม่ให้ มาร์ค ยุบสภานั้น เป็นการเรียกร้องเพื่อคนส่วนใหญ่หรือไม่ เป็นการหยิบยื่นความจริงใจให้แก่สังคมหรือไม่ เป็นข้อเรียกร้องที่จะเป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชนหรือไม่

“ทำไมต้อง ไม่ ยุบสภา?” หากถามผู้เขียน ก็ตอบได้ทันทีว่า “เพราะจะเป็นการเสียอำนาจ เสียผลประโยชน์ และ เสียหน้า ของคนกลุ่มน้อย ผู้ที่นิยมความเป็น อภิสิทธิ์ชน เหนืออื่นใด”

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

ตรรกะอำมาตย์ ว่าด้วย “แม้ว ซื้อ อองซานซูจี”

ท่านผู้อ่านจำได้ไหมว่า มาร์ค จะเดินทางไปพม่าเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ต้องยกเลิกการเดินทางเมื่อ มาร์ค สะเออะ ไปเรียกร้องว่า ถ้ารัฐบาลทหารพม่าจะให้นายกไทยไปเยี่ยม นายกไทยก็จะขอเข้าพบ นาง อองซานซูจี ด้วย ทำให้รัฐบาลพม่าเกิดความกดดัน และ ได้ตัดสินใจไม่ง้อ ถ้าไม่มาก็อย่ามา ทำให้ มาร์ค ไม่ได้ไปเยือนพม่าในช่วงนั้น


เวลาผ่านไป จนล่าสุดพม่ากำลังจะจัดให้มีการเลือกตั้ง และ มีสื่อชื่อดังระหว่างประเทศได้ลงคำให้สัมภาษณ์ ของนางอองซานซูจี ที่ มาร์ค อยากพบ (หรือแค่ใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อไม่ต้องไปเยือนพม่า) อองซานซูจี ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลที่มาจากรัฐธรรมนูญเผด็จการไม่มีทางมีเสถียรภาพไปได้ โดยให้ดูตัวอย่างจากประเทศไทย ที่ ทหารทำรัฐประหาร นายกทักษิณ ที่มาจากการเลือกตั้ง จนเป็นเหตุให้มีความวุ่นวายมาจนถึงทุกวันนี้

ในเมืองไทยนั้น ต่างฝ่ายต่างก็คิดเข้าข้างตนเอง ต่างก็พยายามรักษาภาพพจน์เมื่อได้ยิน ได้อ่านคำให้สัมภาษณ์ ของสัญลักษณ์ตัวแทนประชาธิปไตยในพม่า ซึ่งได้มีความขัดแย้งชัดเจนกับ คนกลุ่มหนึ่งในเมืองไทยซึ่งมีความเชื่อว่า

การรัฐประหารชอบธรรม

รัฐธรรมนูญโจร 50 เป็นประชาธิปไตย

รัฐบาลที่เกิดจากรัฐธรรมนูญโจร มีเสถียรภาพตามหลักประชาธิปไตย

แน่นอน ผู้เขียนและแนวร่วม นปช. ไม่มีทางเห็นว่า สามประเด็นที่กล่าวข้างต้น จะเป็นความชอบธรรม หรือ จะเป็นประชาธิปไตยไปได้อย่างไร เพราะมันเป็นหลักพื้นฐาน ที่รัฐบาลปัจจุบันพยายามสร้างภาพให้มันผิดเพี้ยนไป

ไม่ว่ารัฐบาลมาร์ค หรือ นักวิชาการเผด็จการ หรือ นักสิทธิเอียงข้าง จะพยายามหาข้อแก้ตัวจากคำพูดของ นางอองซานซูจีอย่างไร ก็ ไม่สามารถทำให้มันฟังสมเหตุสมผลได้ทั้งสิ้น เริ่มเลยก็อ้างว่า นางอองซานซูจี ไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารครบถ้วน ต่อมาก็อ้างว่า นางอองซานซูจีไม่มีความเข้าใจในสถานการณ์การเมืองไทย อ้างเรื่อยไปจนถึงขนาดว่า นางอองซานซูจี รับเงินจากทักษิณ เพื่อมาพูดจาทำนองนี้

หากแม้นว่า คนไทยโง่พอที่จะเชื่อว่า ทักษิณจ้างอองซานซูจีมาพูด โลกทั้งโลกก็คงจะทำใจให้เชื่อยาก เพราะหากว่า อองซานซูจี จ้างได้ด้วยเงินแล้ว ทหารพม่าก็คงจะจ้างให้นางอองซานซูจี เลิกต่อต้านทหารไปนานแล้ว

ความแตกต่างระหว่าง มาร์ค และ อองซานซูจี คือความแตกต่างระหว่างความเชื่อในการยอมรับกฎหมายสูงสุดของประเทศ ความเชื่อของซูจี ซึ่งไม่ยอมรับผลผลิตของเผด็จการ กับ ความเชื่อของมาร์คซึ่งยอมรับและรักษาผลผลิตของเผด็จการ

ความแตกต่างระหว่าง มาร์ค และ อองซานซูจี คือความแตกต่างระหว่าง นางซูจีผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ กับนายมาร์คผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้กับอำนาจของสิทธิของประชาชนภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

หรือว่า นางอองซานซูจี ถูกจ้างโดย ทักษิณ เสียแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

ณัฐวุฒิ แถลง เสื้อแดงสะสมสรรพอาวุธพิชิตร้อยศพ ไว้เป็นจำนวนมาก

ณัฐวุฒิ แถลงข่าวยอมรับ คนเสื้อแดงสะสมสรรพอาวุธ ไว้เป็นจำนวนมาก พร้อม เตรียมแสดงวิธีการใช้งานพร้อมแสนยานุภาพ หลังการแถลงข่าว

เป็นที่แน่นอนแล้วว่า คนเสื้อแดง ได้สะสมอาวุธไว้เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ไม้ไผ่ปลายแหลม บั้งไฟพญานาค และที่สำคัญอาวุธร้ายแรงที่กำลังจะแสดงต่อไป

ฝรั่งถาม: what is it?
ณัฐวุฒิ ตอบ: it is a HAE
ฝรั่งถาม: WHAT?
ณัฐวุฒิ ตอบ: Yes it is a แห

จากนั้น ณัฐวุฒิ ได้เรียก เจ้าหน้าที่ ซึ่งได้รับสมญานามว่า ผู้พิฆาตร้อยศพ ขึ้นมาบนเวที และอธิบายอย่างขึงขังว่า เค้าคนนี้เคยพิชิตมาแล้วเป็นร้อยศพ ไม่ว่าจะเป็น ปลาช่อน ปลาดุก ปลาตะเพียร และ อีกมากมาย

จากนั้น เจ้าหน้าที่ ทะแห ที่ระดมคนเอาไว้พร้อมอาวุธ แห ครบครัน เพื่อต่อต้าน ทหาร จึงได้สาธิต วิธีการใช้อาวุธร้ายแรง ให้ดู โดยให้ผู้สื่อข่าวไปยื่นรวมกันอยู่ด้านข้างเวที

ฟุป!!! เสียงอาวุธ แห จากมือ ทะแห ครอบร่างผู้สื่อข่าวได้กว่าสิบคน

บรรดานักข่าวต่างชาติ อยากโดนบ้างจึงขอลองอีกรอบ

จากนั้นเสธ ไก่อู แห่ง หลังจากที่เกิดอาการช็อค เรื่องไม้ไผ่ เสียบไก่ไปแล้วรอบหนึ่ง ยิ่งกังวล ให้เจ้าหน้าที่ อยู่ห่างจากผู้ชุมนุมไม่น้อยกว่า 30 หลา พร้อมอาวุธ โบราณที่รัฐบาลไทยซื้อมา ทั้ง M19, ปืนลูกซอง, ปืนซุ่มยิงสไนปเปอร์ ระเบิดแก๊สน้ำตา เตรียมพร้อมเป็นจำนวนมาก

รัฐมนตรี กลาโหม กัมพูชา ลาว พม่า มาเลย์ ตกใจมาก เร่งสั่งทหารเหลาไม้ไผ่ปลายแหลม ตามแนวชายแดน เพราะเพิ่งจะพบว่า ทหารไทยกลัว ไม้ไผ่ปลายแหลม แต่ยังไม่มีประเทศใดทราบ เรื่อง อาวุธอันตรายของ ทะแหไทย

ปล. เอาขำๆซักเรื่องแล้วกันครับ

ฝรั่งเล่าให้ฟัง ก่อนเหตุระเบิด สีลม-ศาลาแดง




ฝรั่งชื่อ นาย แอนดรูว์ วอร์คเกอร์ พาเพื่อนสาวมาสังเกตการณ์ สภาพการชุมนุมครับ ตอนช่วงเย็น 6 โมงถึง 1 ทุ่ม

แอนดรูว์เดินข้ามจากฝั่งสีลมที่ควบคุมโดยรัฐบาลครับ ในขณะที่ฝั่งราชดำริควบคุมโดยฝ่ายเสื้อแดง เขาสังเกตเห็นความแตกต่างอย่างมากระหว่างสองฝั่ง ฝ่ายเหลืองสร้างสัญลักษณ์โดยการเผาทำลาย ชุดเสื้อแดง ใกล้กับสี่แยก ทำให้เกิดกลุ่มควันไฟ และ ดูเหมือนไร้สติที่คนต่างก็พากันวิ่งไปหากองไฟ พร้อมกับตะโกนเสียงดัง

ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลเคลื่อนไหวอย่างเกรี้ยวกราด ด่าทอไปยังฝั่งคนเสื้อแดง ข้อเท็จจริงเรื่องการชุมนุมเกินกว่า ห้าคน ท่ามกลางตำรวจนับร้อยไม่ได้มีความสำคัญแต่อย่างใด

จากนั้นแอนดรูว์ เดินข้ามไปยังฝั่งคนเสื้อแดง ซึ่งยังคงเสริมความหนาแน่นของด่านสกัด ที่ทำจากยางรถยนต์และไม้ไผ่ปลายแหลม แอนดรูว์รู้สึกถึงความสงบกว่าอย่างมากในฝั่งคนเสื้อแดง ซึ่งมีสุภาพบุรุษกับรอยยิ้ม แสดงอุปกรณ์ตบให้เพื่อนเค้าดู เพื่อนของแอนดรูว์พึ่งเคยมาเป็นครั้งแรก และ เธอรักมัน สภาพแวดล้อมทางฝั่งเสื้อแดง ผ่อนคลายกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นด้านฝั่งตรงข้าม แอนดรูว์ย้ำว่า ความหลงใหล และ จำนวนคนยังคงคงอยู่อย่างเข็มแข็ง

Silom 21 April
April 23rd, 2010 by Andrew Walker
As I crossed from the Government controlled Silom Road to Red Controlled Ratchadamri, I noticed a large difference between the two crowds. The yellow side proceeded to symbolically burn some red clothing quite close to the intersection. This created a cloud of smoke and a sort of frenzy as people ran towards the burning red shirt while shouting loudly. Pro-Government supporters were going wild shouting obscenities at the reds. It was quite the scene. The authorities kept clear of the “no colour” activities. The fact that they were staging a gathering of more than five right in the middle of hundreds of police officers didn’t seem to matter at all.

I then walked over to the red side where they were continuously constructing their encampment out of tires and sharpened bamboo. I crossed through to a much quieter environment where a gentleman with a huge smile presented my friend with a red clapper. She was visiting for the first time and loved it. The environment on the red side was actually quite relaxed compared to the activities taking place accross the street but passion is still high and numbers are still strong.

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

เผด็จการรัฐสภาฯ ประชาชนไร้ที่พึ่ง จึงต้องยุบสภาทันที




ช๊าดดด...เจน นี่แหละรัฐ ที่โดนกำทาง ......

ขอบอกว่าไม่ใช่ เพลงรัก “ชัดเจน” ของพี่ ติ๊กชิโร่ แต่เป็นความชัดเจนในความไร้ที่พึ่งของประชาชน ตามหลักประชาธิปไตยภายใต้ระบอบรัฐสภาฯ เมื่อมีความเสียหายต่อชีวิต และ ทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ถึง 25 ศพ และ กว่า 800 คนถูกกระทำให้เกิดความเจ็บปวดทางร่างกาย และอีกไม่ต่ำกว่าล้านคน ที่ต้องถูกกระทบให้เจ็บปวดทางจิตใจ นำมาซึ่งความคับแค้น ขัดข้อง เกลียดชังร้าวลึกไปในวงกว้างของสังคม

เมื่อ รัฐสภาไทย ปฏิเสธที่จะ ตั้งคณะกรรมาธิการสืบสวน สอบสวน ตรวจสอบ ให้ได้มาซึ่งสาเหตุและผู้ที่สมควรรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ ฆาตกรรม 25 ศพ ทำร้ายร่างกายกว่า 800 คดี และ ทำร้ายจิตใจกว่า ล้าน กรณี

รัฐสภาไทย เมื่อวานนี้ (วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553) ไม่รับญัตติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญสอบข้อเท็จจริง 10 เมษายน 53 ด้วยคะแนน 235 ต่อ 137 งดออกเสียง 3 ไม่ลงคะแนน 11 เสียง

เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เพื่อสร้างความกระจ่างใจให้โลกทั้งโลกได้รับรู้ ก็อาจจะมีเหตุผลที่สำคัญ และต้องสำคัญมากกว่าความตาย ของพี่น้องประชาชน จึงได้ปฏิเสธที่จะตั้ง กมธ. ในเรื่องนี้

แต่พฤติกรรมอันไร้เหตุผลมันฟ้องให้โลกได้รับรู้ มันชี้ให้เห็นชัดเจนว่า เมื่อผู้นำรัฐบาล หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา และได้ปฏิเสธที่จะใช้ช่องทางการตรวจสอบผ่าน สภาผู้แทนราษฎร จึงเป็นความชัดเจนที่ชี้ให้เห็นว่า รัฐสภาไทย กำลังเดินหน้าเข้าสู่ กระบวนการเป็นเผด็จการรัฐสภา

เมื่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น มีเพียงการรายงานโดยให้น้ำหนักกว่า ร้อยละ เก้าสิบห้า ผ่านสื่อกระแสหลัก ว่าเจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้เสียหายรายใหญ่ถึง 4 ศพ และ บาดเจ็บถึง 60 กว่าราย พร้อมเจาะลึกไปถึง ญาติพี่น้องของบรรดาทหาร ในขณะที่ อีก 21 ศพ และ บาดเจ็บ 800 กว่าราย เป็นเพียงการรายงานตัวเลข เท่านั้น

ประชาชนหวังพึ่งสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้อีกต่อไป สภาผู้แทนราษฎรไม่ยินยอมให้เป็นที่พึ่งอีกต่อไป

สภาผู้แทนราษฎรจึง สมควรหมดวาระลงไป

นายกรัฐมนตรีสมควรยุบสภา ทันที

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

ฝรั่ง สืบจากหลักฐาน 10 เมษา ปฏิบัติการขอพื้นที่คืน


ผมไปเจอบทความของ คุณ นิค ที่เผยแพร่ผ่านเวบไซท์ และเป็นเรื่องราวที่สื่อกระแสหลักในไทยยังไม่มีการพูดถึงกันแม้แต่นิดเดียว

คุณนิค เล่าว่า วันที่ 11 เขาได้ไปสำรวจ ถนนดินสอ และ สี่แยกคอกวัว เขาพบว่ารอยกระสุนที่เขาหาเจอทั้งหมด ยิงมาจากทิศทางที่ทหารบุกมาทั้งหมด เป็นรอยกระสุนจริงที่ยิงมาในระดับ เข่า ท้อง หัว และ เลยหัว

ในวันเดียวกัน นิค ยังได้ไปสำรวจร่องรอยที่ถนนตะนาว จึงพบร่องรอยที่คลายคลึงกัน ยกเว้นแต่ไม่มีซากรถถังและรถฮัมวี เท่านั้น รอยกระสุนจริงส่วนใหญ่ถูกยิงจากทางทหารไปสู่ผู้ชุมนุม มีบางรอยที่ยิงจากผู้ชุมนุมไปในทิศทางที่ทหารปฏิบัติการอยู่ นิค เดาว่าน่าจะเป็นรอยกระสุนจากคนชุดดำ



Mourning and defiance

April 15th, 2010 by Nick Nostitz,

The day after the clashes, April 11, I walked the two sites of the battles – Thanon Dinso and Khok Wua intersection – looking at evidence. At Dinso, the second clash site, several vandalized tanks and humvees remained. The unit designations at the army vehicles were covered with tapes, hiding the unit identities (also during the battle soldiers refused to answer questions regarding unit). Between the tanks two were holes in the tarmac – blasts of grenades which killed and injured several soldiers. The street was spiked with bullet holes. I only found holes from the direction of the army towards the protesters – in the height of knees, stomach, heads and over the heads.

At the first site of the clashes – at Khok Wua intersection and Thanon Thanao, a similar picture of destruction, just without the tanks and humvees. I found again many bullet holes, mostly from the direction of the army towards the protesters, but here also from the direction of the protesters, assumed to be fired by the now infamous black dressed group of fighters.

Democracy monument was covered in graffiti.

On April 12 I went to Pinklao Bridge, where the leftover army vehicles were lifted off the street, to make way for a Royal motorcade that was to pass there the next day. I noticed two scribbling on two of the humvees asking the outside world for help.

At Democracy Monument coffins were laid out. The wife and younger sister of a killed protester were weeping. I could not stay long there, it was just too gut wrenching.

April 13 I went to Dinso. Many graffiti appeared at the tanks and humvees. Other graffiti was written at graffitti at Sattriwitthaya School, where snipers were located during the battle. In between were small makeshift shrines with offerings at locations where protesters lost their lives, dried blood still visible, a slight smell of death. Groups of protesters stood around and discussed the events, listening to descriptions of fellow protesters who were present during the battle. Others posed at the tanks for pictures in postures of defiance.
........................................................

นิค พูดตรงกันกับพี่น้องประชาชนหลายคนที่ อยู่ในเหตุการณ์ พยานในเหตุการณ์จำนวนมาก พร้อมกับร่องรอยกระสุน เป็นหลักฐานชั้นดี ที่ชี้ให้เห็นว่า อาวุธสงครามได้ถูกนำมาใช้งาน ในปฏิบัติการสลายการชุมนุมของพี่น้องประชาชน

การยิงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ ของเผด็จการต่อต้านประชาธิปไตยชัดเจน

รถถัง รถฮัมวี่ อาวุธสงคราม คราบเลือด รอยกระสุน พยานในเหตุการณ์

ทำไมสื่อไทยความรู้สึกช้า ไร้ความรู้สึก เช่นนี้

ทำไมรัฐบาลไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ

ทำไมยังไม่ยุบสภาฯเสียที


อ้างอิง

Thank you and credits to Nick Nostitz for the brave voice, which slap our fake democrat government on the face. There is not any Thai main stream media report these bullet holes.
http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2010/04/15/mourning-and-definance/

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

ศอฉ. (อนุพงศ์) ต้องใช้ สื่อ ลดความขัดแย้ง ความเกลียดชัง ทันที


หลังจากที่ มาร์ค สับ เทือกออกจาก ผอ. ศอฉ. แล้วตั้งอนุพงศ์ รับหน้าที่แทน ผู้เขียนไม่มั่นใจว่าพลเอก อนุพงศ์ จะมีความเข้าใจในสถานการณ์ ลึกซึ้งเพียงใด ทั้งนี้ ผู้เขียนมั่นใจว่า อย่างน้อย อนุพงศ์ ทราบอยู่แล้วว่า มีผู้เสียชีวิต มากกว่า 20 ราย และ ผู้บาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 800 ราย จากปฏิบัติการพลีชีพ ขอพื้นที่คืน ของบูรพาพยัคฆ์

ผู้เขียนไม่มั่นใจว่า ในความคิดของ พลเอก อนุพงศ์ เห็นการสั่งการให้ปฏิบัติหน้าที่ หลังฟ้ามืดที่สี่แยกคอกวัว เป็นการสั่งการที่ผิดพลาดในเชิงยุทธการหรือไม่ ผิดมาตรฐานสากลในการใช้กำลังทหารหรือไม่ สิ่งที่ อนุพงศ์ ในฐานะ ผอ. ศอฉ. สมควรเร่งกระทำคือ การลดระดับความเกลียดชัง ความขัดแย้งในสังคมเพื่อให้ ความฉุกเฉิน ได้ผ่อนคลายความตรึงเครียดลงตามลำดับ

ถึงแม้นว่า อนุพงศ์ จะไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง หรือ สนับสนุนรัฐบาลเต็มรูปแบบก็ตาม ผอ. ศอฉ. สมควรที่จะสั่งการเร่งด่วนให้มีกิจกรรมลดความตรึงเครียด ลดความเกลียดชังในสังคมไทย


แนวทางที่ชัดเจนและรวดเร็วที่สุดคือการยกเลิกคำสั่ง ปิดกั้นสื่อ ยกเลิกคำสั่งควบคุมข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านสื่อกระแสหลัก

ภาพที่สังคมไทยเห็นได้ชัดเจนคือ การฉายซ้ำ เผยแพร่ซ้ำ ภาพและเสียงทหารที่ถูกกระทำ ทั้ง 4 ศพ และเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 60 กว่านาย อีกทั้งยังมีการเผยแพร่ความรู้สึกของญาติพี่น้องของทหาร ที่บาดเจ็บและล้มตายเหล่านั้น ผ่านสื่อรัฐและสื่อกระแสหลักอย่างหนัก ในขณะที่ไม่มีภาพข่าวของประชาชนผู้เสียชีวิตทั้ง 19 ชีวิต และ ผู้บาดเจ็บอีกกว่า 800 รายนั้น ถูกปิดกั้นในทุกรูปแบบ

เหล่านี้สร้างความเกลียดชัง บาดลึกมากขึ้นระหว่างประชาชนและรัฐบาล และจะแพร่กระจายออกไปต่อเนื่องเมื่อรัฐได้จัดตั้งประชาชนผ่านเครือข่าย พันธมิตร เพื่อเตรียมปะทะกันกับประชาชนคนเสื้อแดง

พลเอก อนุพงศ์ ต้องสั่งการให้ยกเลิกการปิดกั้นสื่อทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ เวบไซท์ และ หนังสือพิมพ์ ในทันที เพื่อให้ประชาชนมีพื้นที่ระบายออก ให้ญาติพี่น้องของผู้ตาย และ ผู้บาดเจ็บ ได้มีโอกาส เช่นเดียวกันกับญาติพี่น้องของเจ้าหน้าที่ทหาร

พลเอก อนุพงศ์ ต้องใช้อำนาจที่มีในตำแหน่ง ผอ. ศอฉ. ถอนทหารออกจากที่ทำการของสื่อมวลชน และ ลดแรงกดดันสื่อเหล่านั้น เพื่อให้สื่อต่างๆได้ใช้วิจรณะญาณ ในการนำเสนอข้อมูลแบบตรงไปตรงมา

หากทำเช่นนี้ได้ อนุพงศ์ จะสามารถช่วย ลดแรงแค้น ความเกลียดชังในสังคมลงได้ แน่นอน และจะเป็นการเยียวยาอารมณ์รุนแรง อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

พลเอก อนุพงศ์ ได้โปรดยกเลิกคำสั่งปิดกั้นสื่อ และ กดดันสื่อกระแสหลัก เพื่อความสงบสุขของประชาชนคนไทยต่อไป
หยุดปิดกั้นสื่อ หยุดกดดันสื่อ เพื่อภาพลักษณ์ของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลเสียที

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

ปฏิบัติการอำมหิต ขอคืนพื้นที่: ตอน สังเวย “บูรพาพยัคฆ์”

รัฐบาลภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำซึ่งไร้สำนึกในความรับผิดชอบ ยากที่จะแยกแยะชั่วดี ได้เริ่มเปิดฉาก ปฏิบัติการที่ตั้งชื่อสวยหรูว่า ปฏิบัติการขอพื้นที่คืน แต่ ไม่ว่าจะตั้งชื่อไพเราะสวยหรูเพียงใด ก็ไม่สามารถปกปิดความรุนแรงที่เกิดขึ้นในคำสั่งสลายการชุมนุมครั้งนี้ได้

เริ่มต้นที่ เวลาบ่ายโมง วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 ทหารภายใต้การนำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เริ่มระดมยิงแก๊ซน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมที่บริเวณราชดำเนิน โดยมีเป้าหมายเพื่อสลายการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชน จนเกิดการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ระหว่างผู้ชุมนุมกับทหาร

เวลา สี่โมงเย็น จนถึง ห้าโมงเย็น เริ่มมีรายงานประชาชนได้รับบาดเจ็บจาก อาวุธสงคราม เป็นแผลกระสุนซึ่งมีทางเข้าเล็ก แต่ทางออกของกระสุนใหญ่เท่าลูกปิงปอง คาดว่าเป็นอาวุธปืน เอ็มสิบหก [M16] มีผู้บาดเจ็บหลายรายจากอาวุธสงครามทั้งกระสุนจริงและกระสุนยาง แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถสลายการชุมนุมได้สำเร็จ


รัฐบาลสั่งการโจมตีเพื่อสลายการชุมนุมทางอากาศเมื่อเวลาประมาณ หกโมงเย็น โดยใช้เฮลิคอปเตอร์ ทิ้งระเบิดแก๊สน้ำตาลงกลางฝูงชนที่สะพานผ่านฟ้าไปจนถึงเวทีปราศรัย ผู้ชุมนุมตอบโต้กลับด้วยการปล่อยลูกโป่งสวรรค์ และ โคมลอยสำหรับเทศกาลสงกรานต์ ทั้งนี้มีรายงานว่า ผู้ชุมนุมที่ทนเห็นพี่น้องประชาชน ดมแก๊สน้ำตาไม่ไหว ได้ใช้อาวุธปืน ยิงขู่เฮลิคอปเตอร์

มีรายงานว่าผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่นเสียชีวิต จากกระสุนจริง หลังจากที่รัฐบาลสั่งการสลายการชุมนุมต่อเนื่องตอนประมาณสองทุ่มกว่าๆ มีประชาชนเสียชีวิตจากอาวุธสงคราม ทั้งที่หน้าอกและศีรษะ ที่พื้นที่สี่แยกคอกวัว

ทหารเคลื่อนไหวกดดันต่อเนื่อง จนมีรายงานผู้บาดเจ็บกว่าร้อยคน และมีรายงานผู้เสียชีวิตเกิน เจ็ดคนในขณะนั้น รัฐบาลยังคงคำสั่งเร่งรุก กดดัน จนเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง

ทหารสายบูรพาพยัคฆ์ นำโดย พล ต. วลิต โรจนภักดี, พ.ท. เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช และ พ. อ. ร่มเกล้า ธุวธรรม ถูกโจมตีด้วยอาวุธสงคราม เอ็มเจ็ดสิบเก้า [M79] ทำให้ นายพล วลิต ขาหักสามท่อน จนอาจจะต้องตัดขา ส่วน พันโท เกรียงศักดิ์ ต้องผ่าตัดสมองเอาสะเก็ดระเบิดออก ในขณะที่ ดาวรุ่งสายบูรพาพยัคฆ์ อย่าง พันเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม ต้องจบชีวิตลง ถึงแม้นว่าจะเปรียบเทียบไม่ได้กับ 20 ศพ และ ผู้บาดเจ็บกว่า 800 ราย แต่นัยยะสำคัญ ของความสูญเสียนี้ คือ ทหารตัดสินใจจะไม่ดำเนินการสลายการชุมนุมอีกต่อไป

ไม่ว่าจะเป็น พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว. กลาโหม, พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ. ทบ, พลเอก ประยุทธิ์ จันทร์โอชา ว่าที่ ผบ. ทบ., พลโท คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 รอคิว ผบ. ทบ. ต่อจาก พลเอกประยุทธิ์ และ สุดท้าย พลตรี วลิต โรจนภักดี ผู้กลายเป็นทหารขาพิการไปเสียแล้ว บรรดารายชื่อในบทความนี้ล้วนเป็น สายตรง นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา หรือ ป๋า ของเราทั้งสิ้น เหล่าบรรดา บูรพาพยัคฆ์ผู้ครองอำนาจในกองทัพบกมาเป็นเวลายาวนาน กำลังจะได้รับ ผลตอบแทน จากการตัดสินใจรับฟังคำสั่งรัฐบาลอำมาตย์

ไม่จำเป็นที่จะต้องมีหลักฐานยืนยัน ก็ เชื่อได้ว่า ลูกป๋าเท่านั้นจึงจะได้เป็นใหญ่ในกองทัพบก

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการสลายการชุมนุมจนมีประชาชนเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง คือ มีมือที่สาม ที่รัฐบาลกล่าวอ้าง หรือ มีนักรบโรนินที่ เสธ แดง กล่าวอ้าง หรือ ทหารแตงโม ตามที่จตุพรกล่าวอ้าง ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ทหารเหล่านี้ ทนไม่ได้ ที่รัฐบาลยังคงคำสั่งสลายการชุมนุมต่อเนื่องแม้นว่าจะมืดค่ำแล้วก็ตาม ทหารเหล่านี้ทนไม่ได้ที่มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ เสียชีวิตไปแล้วนับสิบ และ บาดเจ็บหลายร้อย

การตัดสินใจเอาคืนแทนพี่น้องประชาชนครั้งนี้ เชื่อเหลือเกินว่า หาก บูรพาพยัคฆ์ ยังคงรับคำสั่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ต่อไป ก็คงจะต้องถึงจุดจบไปในเวลาอันรวดเร็ว

หากบูรพาพยัคฆ์ ยังอยากมีที่ยืนอยู่ในกองทัพไทย ก็ต้องหยุด หยุดช่วยรัฐบาลกระทำการอำมหิต คิดสลายการชุมนุมของประชาชน แล้วปล่อยให้ การเมืองสู้กันทางการเมืองถ้าจะให้ดี

บูรพาพยัคฆ์ เดินไปกระซิบมาร์ค บอกให้ ยุบสภาทันที