วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

ความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี ทรราช


อย่ามาอ้างว่าที่สั่งทหารสลายการชุมนุม เป็นทางออกสุดท้าย อย่ามาอ้างว่าไม่มีทางเลือก จึงได้สั่งการสลายการชุมนุม ถึงแม้นว่าจะตั้งชื่อสวยหรู ไพเราะแค่ไหน อย่าง ปฏิบัติการขอพื้นที่คืน หรือ อะไรก็ไม่สามารถอ้างได้ เพราะ “ถ้าไม่สั่งทหารบุก จะมีคนตายหรือไม่” แล้วทางเลือกอื่นๆ เช่น ปล่อยให้ประชาชนชุมนุมกันต่อไป หรือ แสดงความจริงใจเพื่อขอเจรจา หรือแม้แต่ ยุบสภา เหล่านี้ไม่ใช่ทางออกหรืออย่างไร

อย่ามาอ้างว่า ทหารทำตามขั้นตอนสากล จากเบาไปหาหนัก อย่ามาอ้างว่าปืนจริงยิงขึ้นฟ้าและป้องกันตัวเท่านั้น เพราะแม้แต่ ฝรั่งที่นั่งดูเฉยๆ ยังได้เห็นภาพประชาชนนั่งท้ายรถกระบะถูกยิงคร่าชีวิต คาหูคาตา (อ่านสิ่งที่พยานชาวต่างชาติเห็นที่
http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/8613482.stm )

นาทีนี้ นายกรัฐมนตรีของชนชั้นสูง นายกของอำมาตย์ ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการแสดงความเสียใจผ่านทีวีเท่านั้น เป็นการแสดงความรับผิดชอบโดยการพยายามโยนขี้ ให้ประชาชน นายก ออกมาแถลงออกทีวี ว่า จะพิสูจน์ จะชันสูตรศพ แล้วคงป้ายสีว่าไม่ใช่ปืนทหาร หรือ ทหารแค่ป้องกันตัวในที่สุด จากลักษณะที่ มาร์ค ออกมาแถลงการณ์ มันบ่งบอกถึงความพยายามที่จะลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ไม่ได้มีความพยายามที่จะรับผิดชอบแต่ประการใด มีแต่ความพยายามที่จะปิดปากครอบครัวของผู้สูญเสียด้วยเศษเงิน เหมือนกรณี จ่าเพียร ไม่มีผิด

วันนี้รัฐบาลแสดงออกด้วยความพยายามปิดข่าว ลดกระแสความรุนแรงที่รัฐบาลได้สร้างขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ภาพข่าว ภาพถ่ายมันฟ้องว่ารัฐบาลสร้างความรุนแรง แต่บีบปากนักข่าวให้พูดว่า ผู้ชุมนุมสร้างความรุนแรง

จริงๆแล้ว สิ่งที่มาร์คสมควรทำ คือ แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือ ยุบสภาในทันที ตามที่ผู้ชุมนุมเรียกร้อง จึงจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบที่จริงใจที่สุด การปฏิเสธข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า นาย อภิสิทธิ์ ไม่มีความจริงใจในการแสดงความรับผิดชอบ แต่กลับมีความพยายามแสดงตนว่า ทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นความผิดของประชาชน

สร้างเรื่องโกหก ใส่ร้าย ป้ายสี กระทำการเหยียดหยาม ประชาชนคนไทย โดยไม่ให้ความสำคัญในชีวิต ของประชาชน เป็นสิ่งที่ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันกำลังทำอยู่

เห็นได้ชัดว่า มันเป็นความอาฆาต มาดร้าย อำมหิต ที่ อภิสิทธิ์ ได้แสดงให้โลกทั้งโลกได้เห็น


นายกต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการ ยุบสภา แล้ว เดินทางออกนอกประเทศ ทันที

วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553

เหลือฉากสุดท้าย มาร์ค ต้องบีบน้ำตา เอาตัวรอด




เหตุผลในการประกาศ พรก. ฉุกเฉิน ฟังไม่ขึ้น ถึงจะมานั่งผงกหัว หงึก หงึก หงึก ก็ ฟังไม่ขึ้น เอาเรื่องบุคคล ไปจำกัดสิทธิเสรีภาพของคนอื่นๆจำนวนมากนั้น เป็นการกระทำที่จงใจ สร้างสถานการณ์ให้ประชาชนที่ใช้ สิทธิชุมนุม ตามรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้สิทธิ ที่ผิดกฎหมายเผด็จการ

ยิ่งเหตุผลในการปิดสื่อ ยิ่งฟังแล้วแย่กว่าเป็นไหนๆ ทั้งเป็นคำสั่งที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ทั้งเหตุผลที่ใช้ มาร์ค อ้างว่าการปิดสถานีจะเป็นการ ช่วยลดการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร และลดการแพร่กระจายของความเกลียดชังในสังคมไทย ทั้งๆที่เพียงปลายนิ้วกดรีโมทย์ ไปช่องหอยม่วง หรือ เอเอสทีวี รัฐบาลก็เป็นต้นเหตุแห่งความเกลียดชังเสียเองแล้ว

การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐ ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นแล้วว่า มาร์ค เองต่างหาก ที่ได้สร้างความเกลียดชัง ความขัดแย้ง และ ความวุ่นวายในสังคมไทย จนไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ในเวลาอันรวดเร็ว การที่รัฐบาล ใช้อำนาจผ่านสื่อรัฐ บีบสื่อกระแสหลัก ให้ ชี้นำสังคม ปกป้องเพื่อนพ้องจากการกระทำทุจริต เหยียบย่ำความคิด การแสดงออก ของพี่น้องประชาชนที่เห็นต่างนั้น เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า มาร์คเอง ได้เป็นผู้ริเริ่มให้สังคมไทยวุ่นวายมาจนถึงทุกวันนี้

ส่วนพี่น้องประชาชนนั้น เพียงแต่ แสดงออกถึงความจริง ทั้งความจริงในอดีต และ ความจริงวันนี้ ที่ทำให้พวกเขามีความมั่นใจในความชอบธรรมของตน มีความเชื่อมั่นในหลักประชาธิปไตย มีโอกาสที่จะมีความหวัง ว่าประเทศไทย สังคมไทย อนาคตของลูกหลาน จะดีขึ้นกว่านี้ มากมาย หากสามารถ นำชัยชนะกลับบ้านได้ในครั้งนี้

ถึงจะมานั่งผงกหัว หงึก หงึก หงึก หงึก จะหงึกแค่ไหน มันก็ไม่เพิ่มความชอบธรรมให้มาร์คใช้อำนาจเผด็จการสั่งการปิดกั้นการสื่อสารของประชาชนทั้งสิ้น ข้ออ้างต่างๆที่ใช้มันเบาบางเพียงขนนุ่นที่ลอยลม มันไม่มีน้ำหนักพอที่จะสั่งการขัดกฎหมายสูงสุดของประเทศ ที่ใช้บังคับอยู่ ถึงแม้นว่าจะเป็นกฎหมายโจรกบฏก็ตาม

ณ วินาทีที่ มาร์คสั่งการขัดรัฐธรรมนูญ โดยการสั่งปิดการสื่อสารของคนเสื้อแดงทุกรูปแบบนั้น มาร์คได้สลายทำลายทองออกของตนจนเกือบสิ้น เหลือเพียงทางออกสุดท้ายจริงๆ ที่จะไม่ทำให้มาร์คเป็นเผด็จการ ทรราช ซึ่งทางออกนั้นคือ ………

การออกทีวีรายการพิเศษครั้งสุดท้าย ตีหน้าเศร้า เล่นละคร บีบน้ำตา ขอความเห็นใจจากพี่น้องประชาชนว่าตนได้สำนึกแล้วถึงการกระทำที่ผ่านมา จากนั้นก็ประกาศ ยุบสภาฯ ในทันที

ทรราช แมงสาปจอมเผด็จการ ปิดกั้นสื่อ




รัฐบาลจะอ้างว่าอย่างไร จะอธิบายอย่างไร ก็ตาม การที่จะใช้อำนาจปิดกั้นการสื่อสารโดยใช้อำนาจตาม พรก. ฉุกเฉิน นั้น รัฐบาลจำเป็นจะต้องชี้แจงหลักฐาน ด้วยความรวดเร็ว ไม่ใช่แค่กล่าวหากัน ผ่านสื่อที่ตนควบคุมได้

หากรัฐเพียงอาศัยอำนาจ ปิดกั้นการสื่อสารของพี่น้องประชาชนโดยไม่ชี้แจงหลักฐานแล้ว อ้างว่าสื่อเหล่านั้นมีการบิดเบือนข้อมูล มีการปลุกระดมประชาชนให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรแล้ว มันก็เป็นการกระทำที่หนีไม่พ้น ข้อกล่าวหาเผด็จการ ทรราช นั่นเอง

นาทีที่รัฐปิดกั้นสื่อเหล่านี้ รัฐจำเป็นจะต้องชี้แจงด้วยว่า สื่อที่ถูกปิดนั้น บิดเบือนข้อมูลอย่างไร และ ส่อไปในทางปลุกระดมมวลชนให้เกิดความเสี่ยงต่อ ความมั่นคงของชาติอย่างไร

นาทีนี้ รัฐเพียงใช้อำนาจที่มีอยู่สั่งการให้ปิดกั้นสื่อโดยไม่มีหลักฐานมาชี้แจงประชาชน มองข้ามมาตรฐานสากล ใช้อำนาจข่มขู่สื่อกระแสหลัก ทำให้สภาวะข้อมูลข่าวสารตีบตัน และ ไม่ให้ความสำคัญต่อสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชนทั่วไป

วันนี้รัฐบาลหนีไม่พ้นข้อครหา เผด็จการทรราช เพราะมีพฤติกรรมบิดเบือนข่าวสาร ปิดกั้นสิทธิสื่อสาร ของพี่น้องประชาชน บังคับใช้กฎหมายโดยมิชอบ และ ยั่วยุสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงขึ้นในประเทศชาติ

ล่าสุดเรียก นักข่าวต่างประเทศกว่า 30 คนเข้าไปชี้แจง หรือหวังจะเรียกไปขู่ หรือตั้งใจจะอธิบายว่าทำไมถึงปิดกั้นการสื่อสารของพี่น้องประชาชน

รัฐบาลจะแสดงหลักฐานให้ สื่อต่างชาติดูหรือไม่ ว่า คนเสื้อแดงบิดเบือนข้อมูลอย่างไร ประเด็นไหน ให้ข้อมูลเท็จแก่พี่น้องประชาชนอย่างไร ประเด็นไหน มีหลักฐานมาแสดงหรือไม่

ใช่ประเด็นเทือกดันดารา หรือไม่ หรือ ประเด็น มาร์ค หนีทหาร หรือ ประเด็น นายกสั่งสลายการชุมนุมเมื่อเดือน เมษายน ปี 52

ผู้เขียนเชื่อว่า รัฐบาลกำลังบิดเบือนสาระสำคัญ และ ใช้อำนาจโดยมิชอบ ในการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ ในการสื่อสารของพี่น้องประชาชนชาวไทย

แม้แต่เหตุผลในการประกาศ พรก. ฉุกเฉิน ก็ไร้ความชอบธรรมแล้ว รับบาลใช้ความเชื่อเป็นตัวตัดสินเช่นนี้ มาตรฐานการกดขี่พี่น้องประชาชน ของ รัฐบาล ไม่เคยตกเลยจริงๆ

รัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลแมงสาปจอมเผด็จการ ทรราช แน่นอนแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

มาร์ค หน้าด้าน ขอเวลาโกงอีก 9 เดือน ก่อนยุบสภา

ให้อันทะมิด และ เครือข่าย ออกมาคัดค้านการยุบสภา ทั้งๆที่ มาร์คเองก็ ได้แสดงให้พี่น้องประชาชนเห็นแล้วว่า ยุบสภา คือทางออกของประเทศชาติ เพียงแต่ติดประเด็นตรงที่ว่า มาร์คจะขอเวลาผ่านงบประมาณ และ โยกย้ายข้าราชการ ก่อนที่ตนเองจะประกาศยุบสภา นี่ยังไม่รวมถึงการเตรียมความพร้อมของ พรรคตนเองเพื่อเข้าสู่สนามเลือกตั้ง

มาร์คอ้างว่า จะยุบสภาเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่ใครบ้างที่เชื่อคำหลอกลวงของมาร์ค ผู้เขียนเห็นว่า ไม่มีใครรอบข้างผู้เขียนเลยที่เชื่อเช่นนั้น

ประวัติการโกงของรัฐบาลชุดนี้ได้สร้างความเจ็บช้ำไม่น้อย ต่อประชาชนจำนวนมาก

ผู้เขียนขอแนะนำ ข้อมูลด้านล่างประกอปการตัดสินใจ ว่าพี่น้องประชาชนควรยินยอมให้มาร์ค และ ลิ่วล้ออำมาตย์ อยู่ต่อไปถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่













ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกัน รณรงค์กดดัน ให้ อภิสิทธิ์ และ นักการเมืองร่วมรัฐบาลโกง ตัดสินใจ
ยุบสภา ทันที



วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

รสนา รู้บ้างไหม หมาตัวเมีย พวกฝรั่งเค้า เรียกว่า “Bitch”


การจะพาเพื่อนอีก 39 คนไปจมน้ำตายก่อนวัยอันควรนั้น เป็นบาปอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการดึงเอา เบื้องสูง ลงมาเป็นเครื่องมือในการทำร้ายประชาชนเช่นที่คุณกำลังทำอยู่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้เด็ดขาด

ผู้เขียนไม่เคยเห็น 40 สว. ซึ่งนำทีมโดยคุณรสนา ออกมาแสดงจุดยืนเรื่องที่ ลิ๊มโกเต๊ก เอา คลิปหมิ่นเบื้องสูงของดาตอปิโด ไปเผยแพร่ซ้ำเลยสักครั้งเดียว นี่หรือ คือพฤติกรรมที่คุณ และ พวก อ้างว่าจงรักภักดีกว่าประชาชนคนเสื้อแดง

คนเสื้อแดงเขาเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับ ลิ๊มโกเต็ก ผู้สร้างความเสื่อมเสียให้แก่สถาบัน และ แน่นอน ลิ๊มดกเต๊ก ทำสิ่งผิดกฎหมายชัดเจน แต่รัฐบาลไม่เร่งดำเนินคดี กลับปล่อยให้ รักษาการ ผบ. ตร. ดึงเรื่องเอาไว้ ในขณะที่คุณรสนาเองนั้น ไม่เคยแม้แต่จะคิด ที่จะเตือนให้รัฐบาลอำมาตย์ชั่วชุดนี้ เร่งดำเนินคดีกับ ผู้ที่จงใจนำข้อมูลหมิ่นเบื้องสูงไปเผยแพร่ซ้ำ

พฤติกรรมของคุณ รสนา มันทำให้ประชาชนเชื่อได้ว่า คุณมันเลวจริงๆ

คุณพาพวก มานั่งแถลงข่าวใส่ร้ายประชาชนว่า จะสร้างความรุนแรง ว่าจะล้มจ้าว พอโดนถามว่าเอาข้อมูลมาจากไหน ทำไม พวกคุณทำอึ้งกันไปหมด

นี่มันใส่ร้ายชัดๆ

คนที่จะเป็น สว. น่าจะมีวุฒิภาวะ สูงกว่านี้นะครับ จะกล่าวหาอะไรใคร น่าจะมีแหล่งข่าว หรือ หลักฐานที่น่าเชื่อถือกว่านี้ นี่แค่โดนนักข่าวถามถึงกับอึ้ง ถึงกับเดินหนี

แต่ถ้ามองโลกในแง่ดี ผู้อ่านก็จะเห็นได้ชัดเจนขึ้นว่า สว. ลากตั้ง ของ โจรกบฏ โดยเฉพาะ 40 สว. ในกลุ่ม อีนังรสนา นั้น มันทำได้ทุกอย่าง นี่เป็นการประจานตัวเองที่น่าอายที่สุด

พวกคุณ ปกป้อง รัฐบาล และ นายกรัฐมนตรี ที่ได้อำนาจมาโดยมิชอบ ยังไม่พอ พวกคุณยังจะมากล่าวหาใส่ร้ายประชาชน ว่าเข้าจะก่อความรุนแรงบ้าง ว่าจะล้มล้างสถาบันบ้าง

สิ่งที่พวกคุณออกมาแถลงข่าวนี่ คงวางแผนกันไว้แล้วใช่มั๊ย ว่าจะสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายผู้ชุมนุมอย่างไร

พวกคุณคิดว่าประชาชนเค้าโง่ขนาดที่มองไม่ออกหรือว่า ไอ้ความรุนแรง ระเบิดตูมตาม ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น เป็นฝีมือของรัฐบาลอำมาตย์ทั้งนั้น พวกคุณไม่มองตรรกะ บ้างหรือว่า ทหาร 75,000 ถึง แสนนาย ที่รับเบี้ยเลี้ยงอยู่ในกรุงเทพฯ นี่ ทำไมยังป้องกันเหตุระเบิดไม่ได้

ทำไมหน่วยข่าวกรองทหาร ที่มีงบประมาณมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ถึงไม่สามารถสืบทราบได้ว่าใครทำ ใครยิง ใครปาระเบิด ในเขตเมืองหลวงของประเทศ

อย่างนี้คุณจะให้พี่น้องประชาชนเค้าเชื่อกันได้อย่างไร

คุณมันไร้ค่า ไร้ราคา ในสายตาประชาชน

คุณมันสร้างเรื่อง ด้วยความหน้าด้าน ใส่ร้ายพี่น้องประชาชน

คุณรู้บ้างไหม ว่าพฤติกรรมแบบนี้ พวก ฝรั่งเขาจะด่าคุณเอาได้ ว่า

You are a nasty old BITCH!!!

วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

โคตรจะมาร์ค เลยหว่ะ ภาคสอง: จากโลกไซเบอร์ สู่แนวทางปฏิบัติ


เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2552 ผู้เขียนได้ สนทนากับนักรบไซเบอร์ คนเสื้อแดงท่านหนึ่ง ถึงพัฒนาการทางด้านศัพท์แสลง ที่เห็นใช้กันอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต และ เมื่อ สถานการณ์เปลี่ยนไป เวลาผ่านไป ทำให้ศัพท์แสลง ที่ได้ระบุคำจำกัดความนั้นไม่เป็นที่นิยมในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะดูเหมือนว่า ผู้เขียนได้ใช้ คำ ที่เป็นเสนียดปาก ของผู้พูดมาสื่อสาร ในรูปย่อ เพื่อจำกัดความ คำว่า กาก หรือ กากเดน, คำว่า เกรียน และ คำว่า เสี่ยว ให้รวมอยู่ในคำ คำเดียว คือ มาร์ค

ซึ่งท่านผู้อ่าน สามารถ ทำความเข้าใจ ได้จากบทความในเวปบล๊อคเก่าของผู้เขียน ซึ่งได้ทำสำเนามาให้อ่านอยู่ในบทความนี้

ผู้เขียนกำลังทำความเข้าใจว่า หาก นักการเมืองที่ผู้เขียนกล่าวถึง มีพฤติกรรมเช่นเดิมในระดับที่มากขึ้น จนพี่น้องประชาชน มั่นใจว่า นักการเมืองคนนั้น เลวได้ใจจริงๆ สุดๆจริงๆ อาจจะเริ่มนำ ศัพท์แสลงนั้นกลับมาใช้อีกครั้ง ผู้เขียนจำเป็นจะต้อง เน้นย้ำถึงบริบท และ พฤติกรรม ที่หนักหนาสาหัสขึ้น ของนักการเมืองคนนี้

พฤติกรรมเพิ่มเติม ของคำว่า ไอ้กาก หรือ กากเดน คือ

การที่นักการเมืองคนนั้น หมดทางเถียงแล้วว่า การยุบสภาไม่ใช่ทางออกของสังคมไทย (ตามทรรศนะ ของเขาเอง) จึงยินดี ที่จะยุบสภา แต่มีเงื่อนไขเวลา เพื่อให้ตนเอง ได้ผ่านงบประมาณ เพื่อเตรียมโกงเสียก่อน ยื้อเวลาเพื่อเตรียมโยกย้ายข้าราชการเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบในการเลือกตั้งเสียก่อน

พฤติกรรมเพิ่มเติมของคำว่า เกรียน หรือ ไอ้เกรียน คือ

การที่ไปเถียงกับคนอื่นออกทีวี ว่า สิ่งที่ตัวเองได้พูดในอดีตนั้น มันคนละเวลา คนละ สถานการณ์ กับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งทำให้คำพูดของตนเองในอดีต ไม่สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานให้ตัวเองได้ ทั้งๆที่ ประชาชนโดยทั่วไป เขาเห็นว่า นักการเมืองคนนี้ กลืนน้ำลายตัวเองผ่านสื่อ เช่น การที่ไปสอน ให้ นายก สมัคร ยุบสภา บอกว่า ประชาชนจะ หนึ่งคน หรือ แสนคน นายก ก็ต้องฟัง หรือจะเป็น อีกสถานการณ์หนึ่ง คือ ตอนเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน พูดเรื่องการทำ ประชามติ ว่า"ไม่ต้องทำประชามติ มีแต่จะทำให้ความขัดแย้งลุกลามออกไป ให้ยุบสภาคืนอำนาจประชาชนสถานเดียว เป็นกระบวนการอารยะ" นี่คือพฤติกรรมเกรียน

พฤติกรรม เสี่ยว หรือ ไอ้เสี่ยว คือ

ตัวเองโหวตให้เป็นมติพรรคไปแล้วว่าจะไม่แก้รัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียว แต่ตอนนี้อยากจะแก้รัฐธรรมนูญขึ้นมาทันทีทันใด (ใช้รัฐธรรมนูญ เป็นข้ออ้าง ซื้อเวลา) ไม่กลัวประชาชนเค้า งง เลยว่า ต่อมรัฐธรรมนูญ มาแตก อะไรเอาตอนนี้

นี่คือสามพฤติกรรมเดิมๆ แต่ถูกกระทำซ้ำต่างกรรมต่างวาระ หลายต่อหลายครั้ง จนประชาชนต้องตอกย้ำกันอีกครั้ง เพื่อให้ด่าง่าย สั้นๆ ได้ใจความ โดยไม่ต้องด่า ไอ้กาก ไอ้เกรียน ไอ้เสี่ยว ต่อๆกัน เพราะ มันยาว ด่า ว่า ไอ้มาร์ค คำเดียว ก็ครอบคลุม คำศัพท์แสลงทั้งสาม อยู่ในคำเดียว

ผู้เขียนคาดว่า ไอ้มาร์ค แทน ไอ้กาก ไอ้เกรียน ไอ้เสี่ยว ก็ คงจะดังยาก เหมือนเดิม เพราะ คนพูดอาจจะรู้สึกไม่เป็นมงคลกับปาก

ปล. อ่าน บทความเก่า เมื่อ ก.ค. ปี 52 เพื่อความเข้าใจเพิ่มเติม

โคตรจะมาร์ค เลยหว่ะ

โคตรจะมาร์ค เลยหว่ะ เป็นศัพท์แสลงของวัยรุ่นที่กำลังจะเป็นที่ นิยม ในสังคมไทย นีโอ ลองสำรวจกระแสวัยรุ่น ที่เคยใช้ ศัพท์นี้ ในพันทิป และ ยังคงใช้กันอยู่ ในเกมส์ออนไลน์ บางเกมส์ และจะเป็นที่นิยมแน่นอน หาก รัฐบาลชุดนี้ ยังคงประพฤติตน เช่นที่เป็นอยู่ จนชาวบ้านไม่พอใจ กระทบไปถึงวัยรุ่นในสังคมที่เริ่มตื่นตัวในเรื่องของการเมืองกันมากขึ้น

อยากจะเล่าที่มาของศัพท์ แสลง คำว่า “โคตรมาร์คเลยหว่ะ” หรือ “นายมาร์คมากๆ” หรือ “ไอ้มาร์คเอ๊ย”หรือ “แกมัน มาร์ค ได้ใจ เลยหว่ะ” ศัพท์แสลงเหล่านี้ มีที่มาจากวัยรุ่นหัวใส ที่ต้องการด่าว่า เพื่อนๆ ของตนเอง ว่า ไอ้กาก ไอ้เกรียน ไอ้เสี่ยว แต่ถ้าด่าทีละคำมันไม่สะใจวัยรุ่น พวกวัยรุ่นจึง นำนิยามของคำสามคำ บางส่วน มานิยาม เป็น คำศัพท์ แสลง แล้วใช้ คำว่า “มาร์ค” เป็นสัญลักษณ์ ของคำว่า กาก เกรียน เสี่ยว

นีโอ ลองสัมภาษณ์ นักรบไซเบอร์ ท่านนึง ที่ใช้ ฉายา ว่า รักสาวเสื้อแดง และได้คำอธิบายดังต่อไปนี้ นะครับ

จากศัพท์ คำว่า กาก ก็เอานิยามบางส่วนของ คำ คือ พฤติกรรม กากเดนสังคม เช่นทำอะไรที่เป็นโทษแก่ สังคม หรือ พฤติกรรมที่ขัดกับ หลักจริยะธรรมในสังคม หรือ ขัดกับธรรมชาติที่เป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่

เกรียน ก็เอานิยามบางส่วนของ คำ คือ พฤติกรรม ของคนไม่ใส่ใจในหลัก ทฤษฏีและเหตุผล พฤติกรรมการ แถ ข้างๆคูๆ ทั้งๆที่ฝ่ายตรงข้ามเค้ามีหลักฐานชัดเจน หรือ ทำอะไรโดยไม่ใส่ ใจ สักแต่ว่า ทำให้ตัวเองดูดีไว้ก่อน

เสี่ยว ก็เอานิยามบางส่วนของ คำ คือ พฤติกรรมที่ทำอะไรเชยๆ ชาวบ้านเค้าไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว ตัวเองเพิ่งจะมาเห่อ

แล้วที่ วัยรุ่น เค้ารวมตัวพร้อมใจกัน ใช้ คำว่า “มาร์ค” แทนคำว่า “กาก เกรียน เสี่ยว” นี่ก็เป็นเพราะ พฤติกรรมของ นักการเมืองคนนึง ที่เห็นแก่ตัว และ ไม่ยอมจะเสียให้ใคร ประกอบกับ พฤติกรรม ที่ปรากฏให้เห็นตามพื้นที่ สื่อ จึงทำให้ศัพท์เหล่านี้ รวมกันออกมาอย่าง ลงตัว

ตัวอย่างเช่นพฤติกรรม ของ กาก เช่น การไปร่วมมือ กับ คนเนรคุณ เพื่อประโยชน์ของพรรคพวก หรือ การเก็บ คนปากเสีย ผู้ต้องหาก่อการร้าย ไว้เป็นรัฐมนตรี หรือ การ สนับสนุน แต่งตั้ง คนปากระดับ เทพ(ไท) ไว้เป็นกระบอกเสียง คอย สร้างความขัดแย้งในสังคม

พฤติกรรม ของ เกรียน เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน แล้วไม่ยอมรับว่าตัวเองพลาด หรือ ให้สัมภาษณ์ ว่า ไข้หวัดใหญ่ 2009 ให้นอนอยู่บ้านเดี๋ยวก็หาย ทั้งๆที่มีคนตายกันเยอะ หรือ ไปอุ้ม คนที่โกหกผ่านทีวี ด้วยเหตุผลว่า อาจจะเกินมาตรฐาน กฏเหล็ก เก้า ข้อที่ตัวเองกำหนดไว้

พฤติกรรม ของ เสี่ยว เช่น ทำอะไรเชยๆ แบบ ขนคน 5,000 คน ไปคุ้มกันตัวเองที่ บุรีรัมย์ หรือ ที่ สวนกระแส ว่าภ้ายุบสภาฯ ตอนนี้แล้วคนจะเลือกตัวเอง เหมือนเดิม หรือ ที่ชอบเหมาเอาว่า เป็นนายก ของคนไทยทั้งประเทศ แต่ไม่มีใครยอมรับ

จากความหมาย ของ ศัพท์ และ พฤติกรรมของนักการเมืองที่เกิดขึ้นให้เห็น ผสมผสานกันอย่าง ลงตัวจนได้คำ ด่า เป็นศัพท์ แสลงใหม่ของสังคมไทยและมันก็เป็นอะไร ที่มีเหตุผล มากกว่า การตั้งชื่อ ตัวเงินตัวทอง ให้สื่อไปเล่นข่าว จนคนที่ ชื่อซ้ำกับ ตัวเงินตัวทอง ต้องเสียใจ ไม่รู้กี่คน

แต่ศัพท์ แสลง คำนี้ มันระบุ ชัดเจน ถึง คนๆนึง เป็นที่รู้กันในสังคม คนอื่นไม่เดือนร้อนแน่นอนต่อไปนี้

ใครด่า นีโอ ว่า “ไอ้มาร์คเอ๊ย” หรือ “โคตรมาร์คเลยหว่ะ” หรือ “นายมาร์คมากๆ” หรือ “แกมัน มาร์ค ได้ใจ เลยหว่ะ”

นีโอ จะรู้สึกไม่ดี ทันที .....

http://the-red-ally.blogspot.com/2009/07/blog-post_15.html

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ข้อเสนอเรื่องมาตรการกดดัน: ประชาชน ต้องยืนยัน เพิ่มแรงกดดัน ให้ ยุบสภา ในทันที



เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทั้งมาร์ค ชำนิ พอออกจากการเจรจาสร้างภาพ ว่ารัฐบาลยินดีรับฟัง แต่ดันยื่นข้อเสนอ ลากยาวออกไป 9 เดือน ด้วยเหตุผลสามประการที่ฟังไม่ขึ้น แถมยังลากไป เป้าหมายหลักของรัฐบาล ชัดเจนว่า ยืดเวลา ผัดผ่อน รักษาอำนาจให้นานที่สุด เทพเทือก ก็ รีบรับลูก อ้างพรรคร่วมรัฐบาลเห็นด้วยกับกรอบ ลากยาว 9 เดือน เป็น “คำขาด” ที่รัฐบาล เสนอต่อประชาชน

ประการแรก อ้างว่า ขอผ่านร่างงบประมาณ ปี 2554 ก่อน ผู้เขียนเห็นว่าไม่จำเป็น และ ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เกิดข้อครหา ว่า รัฐบาลตั้งใจลากยาว เพื่อ ผ่านงบประมาณ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล รวมไปถึง กรณีการทุจริต คอรัปชั่น ที่รัฐบาลชุดปัจจุบัน กู้มาโกง อย่างหน้าไม่อาย หากประชาชนยินยอม ให้ผ่านร่างงบประมาณก่อนแล้ว จึง ยุบสภา ก็ ไม่มีทางมั่นใจได้ว่า จะถูกโกงไปอีกเท่าไหร่

ประการที่สอง อ้างว่า ขอแก้รัฐธรรมนูญก่อน โดยที่ก่อนจะแก้ ต้องทำประชามติ แล้วจึงแก้ ผู้เขียนเห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้อย่างยิ่ง เพราะรัฐบาลภายใต้แกนนำปัจจุบัน เป็นพรรคการเมืองที่ได้ลงมติ คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกมาตรา และ การทำประชามติภายใต้ สถานการณ์ที่ ผู้มีอำนาจ ควบคุมสื่อกระแสหลักอย่างชัดเจนเช่นนี้ มีมติคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไปแล้ว โดยเฉพาะ นายอภิสิทธิ์ ก็ เป็น หนึ่งเสียง ที่ยกมือลงมติ ไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญ ทุกมาตรา จึงจะทำให้เข้าทาง ผู้ที่ไม่อยากแก้ สร้างข้อถกเถียงให้ มีการยืดเวลา การลงมติ การเสนอมติสู่สภา ทั้งสามวาระ อาจจะยาวไปอีกหลายปี

ประการที่สาม อ้างว่า ขอสร้างบรรยากาศที่ดี ก่อนที่จะยุบสภา ผู้เขียนเห็นว่า ยิ่งยืดเวลาออกไปยิ่งสร้างความขัดแย้งมากขึ้นในสังคม สร้างแผลร้าวลึกให้ใกล้จุดแตกหักมากขึ้น ให้ความขัดแย้งขยายตัวมากขึ้น

นายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาล และ อ้างว่า เป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ มาเจรจา กับ นปช. แดงทั้งแผ่นดินนั้น ตั้งใจเพียงที่จะสร้างภาพ สร้างกระแส ลดแรงกดดันจากผู้ชุมนุมเท่านั้น ไม่ได้แสดงออกถึงความจริงใจ แต่ประการใด เพราะข้ออ้างขอเวลา 9 เดือนนั้น ฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น

ประชาชนจะต้องกดดันให้หนักขึ้น ชี้แจงสังคมให้ชัดเจน ว่าทำไมถึงรอ 9 เดือนไม่ได้

1. อำมาตย์ต้องการหวากหมาก โยกย้าย นายทัพ นายเรือ นายพล ตำรวจ ให้เสร็จสิ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของตน
2. รัฐบาลต้องการรักษาอำนาจ โยกย้ายข้าราชการพลเรือน ข้าราชการมหาดไทย เพื่อให้พร้อมที่จะลงสู่สนามการเลือกตั้งอีกครั้งแบบ มีตัวช่วย
3. นักการเมืองต้องการ ผ่านงบประมาณ ผ่านเงินกู้ เพื่อนำไปลงโครงการต่างๆ ตามหลัก กู้มาโกง และ เอื้ออำนวยการทุจริตคอรัปชั่น และ เก็บทุนเตรียมเข้าสู่การลงสนาม
4. อำมาตย์ ทหาร และ นักการเมือง ต้องการผ่านงบประมาณ จัดซื้ออาวุธ จ่ายเบี้ยเลี้ยง เพิ่มงบลับ กินค่านายหน้าต่างๆ
5. อำมาตย์ นักการเมือง และ พันธมิตร กลัวถูกดำเนินคดี หากฝ่ายตนไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาล การลากการยุบสภาออกไปให้ยาวนานที่สุด จะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดี
6. ความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ ในปัจจุบัน จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น รอยแผลร้าวจะหนักหนาสาหัสมากขึ้น จนอาจจะถึงขั้นที่ไม่มีหนทางแก้ไข
7. ระบบเศรษฐกิจ ที่ถูกกระทบในระยะสั้น อาจจะได้รับผลกระทบในระยะกลางไปถึงระยะยาวมากขึ้น เนื่องจากการคงอยู่ของ พรบ. มั่นคง
8. รัฐบาลอาจจะปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ จนนำไปสู่ภาวะสุญญากาศทางการปกครอง อาจจะเริ่มมีการนัดหยุดงาน เป็นต้น

พี่น้องประชาชน ยังต้องยืนยัน ร่วมกดดัน ให้ อภิสิทธิ์ ยุบสภาในทันที

จากนั้นเราต้องเพิ่มแรงกดดัน เดินหน้า ทวงถามความชอบธรรมระหว่างที่ รอ รัฐบาลตัดสินใจว่าจะยอมรับ หรือ ไม่ยอมรับ เงื่อนเวลา ยุบสภา ภายใน 15 วัน เราต้องมีกิจกรรมให้ พี่น้องผู้ชุมนุม ทั้งล้านคนผลัดกันทำ

1. ไป กกต. ไป นปช. ทวงถามความคืบหน้าคดียุบพรรค ปชป.
2. ไปกรมตำรวจ ไปทวงถามคดี หมิ่นเบื้องสูงโดยแป๊ะลิ๊ม คดีปิดสนามบิน คดียึดทำเนียบ
3. แฉพฤติกรรมการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลในรายละเอียด ไม่จำเป็นจะต้องใช้ สส. หรือ จะใช้ สส. ก็ได้
4. ไปขอเข้าพบ ผบ.ทบ. เพื่อสอบถามว่าทำไม ตอนนั้น ออกทีวี บอกให้อดีตนายก ลาออก
5. ไปขอเข้าพบ 40 ส.ว. สอบถามว่า ต่อม จริยะธรรม ที่ตื้นตันแตกง่าย สมัยอดีตนายก สมัคร-สมชาย เดี๋ยวนี้ กลายเป็นด้านไปแล้วหรือ
6. ไปขอเข้าพบ รมต. ต่างประเทศ ว่า ได้ดำเนินเรื่องทวงคืน เขาพระวิหารไปถึงไหนแล้ว
7. ไปขอเข้าพบ รมต. ไอซีที แล้วเดินสาย ขอเข้าพบเจ้าของกิจการ และ ผู้บริหาร สื่อกระแสหลัก ต่างๆ เพื่อเจรจาขอความเป็นธรรม และ ขอความร่วมมือ
8. อื่นๆ เน้นการขอเข้าพบเพื่อเจรจา ขอความร่วมมือ เป็นหลัก

เชื่อว่า การเดินสายเจรจาตามแนวทางสันติวิธี ข้างต้นนั้น จะเป็นการกดดันรัฐบาลให้ต้องเร่งตัดสินใจมากขึ้นว่าจะโอนอ่อนผ่อนตาม ข้อเรียกร้อง ตามหลักประชาธิปไตย ของ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน