วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

หยุด!!! หยุดใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมือง


เมื่อรัฐบาลไม่อาจลดความชอบธรรม ของประชาชนผู้ชุมนุมเรียกร้องให้มีการยุบสภา ด้วยวิธีการใดๆ รัฐบาล โดยเฉพาะ ศอฉ. ก็มิควร แสดงความบังอาจ ใช้ สถาบันเบื้องสูงเป็นเครื่องมือทางการเมือง มิควรใช้สถาบันเบื้องสูงมาเป็นประเด็นกล่าวหา ใส่ร้ายประชาชนผู้ชุมนุม เพื่อที่รัฐบาลจะได้ใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามตามอำเภอใจ

ผู้เขียนขอประณาม ศอฉ. โดยเฉพาะ นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ปล่อยให้มีการใช้สถาบันเบื้องสูง มาเป็นเครื่องมือในการทำลายความชอบธรรมของการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญของประชาชนคนเสื้อแดง หรือ กลุ่ม นปช.

ผู้เขียนขอเชิญชวน ท่านผู้อ่านร่วมรณรงค์ เรียกร้อง ให้รัฐบาล โดยเฉพาะ ศอฉ. เลิกใส่ร้าย กล่าวหา ผู้ใด ว่าเป็นส่วนร่วมในขบวนการล้มเจ้า ล้มสถาบัน ผ่านสื่อใดๆ เพราะจะเป็นการโหมโฆษณาให้ชาวโลกได้เห็น ถึงความเติบใหญ่ และ เติบโต ของขบวนการเหล่านี้

สิ่งที่ ศอฉ. สมควรปฏิบัติ คือการดำเนินคดีตามกฎหมายที่มีอยู่ ดังเช่น ผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ

การโหมกระแส ขบวนการล้มเจ้า ล้มสถาบัน ผ่านสื่อต่างๆ ของ ศอฉ. ของ รัฐบาล ของ พันธมิตร เป็นการช่วยโฆษณา อย่างตั้งใจ และจะเป็นการสร้างความขัดแย้งร้าวลึก ในสังคมไทย เป็นการกระทำที่ไร้ความเป็นธรรม กับประชาชนที่ถูกกล่าวหา

การโหมกระแส ขบวนการล้มเจ้า ล้มสถาบัน ผ่านสื่อต่างๆ เป็นเพียงความตั้งใจที่จะแย่งชิงมวลชน ทางการเมือง เป็นเรื่องที่มิสมควรกระทำ เป็นเรื่องที่รัฐบาล พยายามสร้างแนวร่วม ต่อต้านประชาชนที่จงรักภักดี แต่เห็นต่างจากรัฐบาลในเรื่องของการ ยุบสภา

หาก ศอฉ. รัฐบาล พันธมิตร และ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ยังไม่เลิก เล่นการเมือง โดยใช้ สถาบันเบื้องสูง เป็นประเด็นใส่ร้าย การชุมนุมของประชาชน

ประชาชนทั่วไปก็มิอาจ คิดเป็นอื่นไปได้ นอกจากว่า รัฐบาลตั้งใจดึงสถาบัน มาเป็นเครื่องมือ ในการทำลายศัตรูทางการเมือง

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

อภิสิทธิ์ ดึงฟ้าต่ำ ค้ำยันเก้าอี้แห่งอำนาจ


แต่ไม่ว่าเครือข่ายดังกล่าวมีจริงหรือไม่? หรือแผนผังดังกล่าวเป็นจริงหรือเท็จ? มันล้วนเป็นประเด็นต่างหากออกไปจากหน้าที่ทางการเมืองที่แท้จริงของแผนผังเครือข่ายล้มเจ้า นั่นคือการส่งสารถึงคนไทยว่า:

หากท่านไม่ยอมรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่าเป็นของท่านและไม่ยอมทำตามคำสั่งของรัฐบาล เพราะท่านเห็นว่ารัฐบาลนี้ฟอร์มขึ้นในค่ายทหารร่วมกับกลุ่มการเมืองยี้ก็ดี หรือเพราะรัฐบาลนี้ปราบม็อบผิดพลาดจนทำคนตายกว่ายี่สิบและบาดเจ็บหลายร้อยก็ดี

ไม่เป็นไร เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน ขอให้ท่านหันมายอมรับรัฐบาลนี้เป็นของท่านและทำตามคำสั่งของรัฐบาลเสียใหม่ในฐานะที่รัฐบาลนี้เป็นผู้ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้จากเครือข่ายล้มเจ้าตามแผนผังของรัฐบาลที่ยังรอหลักฐานการพิสูจน์เทอญ!

และแล้วต้นทุนการเมืองวัฒนธรรมก้อนสุดท้ายของรัฐชาติไทยก็ถูกล้วงหยิบฉวยใช้มาชะลอความเสื่อมทรุดผิดพลาดเฉพาะหน้าของรัฐบาลอย่างนั้นเอง.....


บทความของเกษียร เตชะพีระ ข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งของบทความซึ่งกล่าวถึง แผนผัง ขบวนการล้มเจ้า ในจินตนาการของ ศอฉ. ซึ่งเวลานี้ ประชาชนได้แปลความไปเป็น ศูนย์อำนวยความฉิบหายวายวอดไปแล้ว นาทีนี้ คุณ เกษียรได้เขียนให้เห็นภาพชัดเจนกว่าใครๆที่ผมได้อ่านมาเกี่ยวกับ แผนผัง ที่เปิดเผยโดย ศอฉ. เมื่อไม่กี่วันมานี้

คนที่มีชื่ออยู่ในแผนผัง อย่าง สมศักดิ์เจียมฯ ยังออกมาขำ และ วิเคราะห์ว่า
"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: กำลังแต่งภาพละครแขวนคอ"

ความเฉียบคมของท่านผู้อ่านหลายท่านที่ได้สนทนากันผ่านโลกไซเบอร์ ได้แสดงให้เห็นกันชัดเจนแล้วว่า แผนผังนี้เป็นเพียง หมากตาหนึ่ง ที่ รัฐบาล เลือกเดิน เพื่อชัยชนะของตน ไม่ใช่ชัยชนะของประเทศชาติ ดังที่รัฐบาลกล่าวอ้าง แต่อย่างใด

วันนี้หากท่านผู้อ่านถามใคร ก็จะได้คำตอบเป็นภาพที่ชัดเจน ให้เห็นว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ต่อเนื่องที่รัฐบาลปฏิบัติ กล่าวคือ

ใส่ร้ายประชาชนผู้ชุมนุมตั้งแต่ต้น (1) ว่าเป็นพวกที่ไร้อุดมการณ์ ไร้การศึกษา ถูกจ้างมา และ อภิสิทธิ์ ก็ มายอมรับทีหลังว่า คนส่วนใหญ่มาชุมนุมด้วย ความบริสุทธิ์ใจ, (2) จากนั้น ใส่ร้ายว่า เป็นพวกหัวรุนแรง ชอบความรุนแรง แต่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์รุนแรงใด จนเป็นคดีความให้เห็นตามสื่อเลยแม้แต่นิดเดียว, (3) จนมาถึงข้อครหาเรื่อง ผู้ก่อการร้าย ทั้งๆที่อภิสิทธิ์ เอง ที่สั่งให้เจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธสงคราม รถถัง และ กระสุนจริง เข้าสลายการชุมนุมในยามค่ำมืด จนเป็นสาเหตุให้เกิด ความสูญเสียต่อชีวิต และ ร่างกายของประชาชนจำนวนมาก, และ (4) ในที่สุด รัฐบาล ก็ได้เลือกสถาบันเบื้องสูง ดึงลงมาเป็นอาวุธสุดท้าย เพื่อสร้างความชอบธรรมในการสลายการชุมนุมของประชาชน ปราบปรามประชาชนที่ไม่ยอมรับตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี

เมื่อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ สถาบันเบื้องสูง เป็นเรื่องที่ระเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่ง่ายต่อการกระทบกระทั่งจิตใจ กระทบกระทั่งต่อความศรัทธรา ของประชาชนจำนวนมาก

กลยุทธ์นี้ ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ต่อเนื่องมาจากกระแสที่ กลุ่มพันธมิตร ได้เคยสร้างขึ้น คือ พยายามใส่ร้ายศัตรูทางการเมืองให้เป็น ผู้ไม่หวังดีต่อสถาบัน รัฐบาล และ ศอฉ. กำลังดำเนินการตามแนวทาง พันธมิตร เพียงแต่เปลี่ยนตัวนำ จาก แป๊ะลิ้ม มาเป็น เนรวิน แท็กทีม กับไก่อู สันดาน โดยกำเนิด ที่ออกมาเผยแพร่แผนผังนี้ ควบคู่ไปกับความเคลื่อนไหวของ หลากสีลายด่างก่อนหน้านี้ ที่เปิดไพ่ เคลื่อนไหว อ้างว่าปกป้องสถาบัน ควบคู่ไปกับ

เนรวินที่เงียบไปนาน ก็ ออกมาบีบน้ำตา อีกครั้งหลังแพร่ภาพ พลเอก ชวลิต นาน หนึ่งนาทีสิบเก้าวินาที ทั้งๆที่ ภาพวีดีโอ นั้นยาวหนึ่งชั่วโมง ประกอบกับ หนังสือ ที่มีท่วงทำนอง ส่งเสริมสถาบันเบื้องสูง ที่ พลเอก ชวลิต เผยแพร่ออกมาในเวลาเดียวกัน

ไม่ต้องพูดถึง สื่อ อย่างช่องสิบเอ็ด ที่นำ เจิมสาก เสรี มาออกทีวี หรือแม้แต่ ตัวหนังสือที่วิ่งวุ่นบนขอบล่างหน้าจอทีวี ต่างก็เป็นพฤติกรรมที่ชี้ให้เห็น ความเคลื่อนไหวของกลยุทธ์ ใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทั้งสิ้น

ความพยายามในการเชื่อมโยง ขบวนการประชาชนที่มาเรียกร้องให้ยุบสภา เข้ากับขบวนการล้มเจ้า โดยใช้พลังการจินตนาการขั้นสุดขั้ว ของ ศอฉ. และความพยายามที่จะใช้ ควบคุมนำเสนอ ข้างเดียว ผ่านสื่อ ต่างๆ

เป็นความพยายามปิดปาก ยัดเยียด ไม่ให้ประชาชนคนไทย เห็นต่างจากรัฐบาล ไม่ให้ประชาชนเรียกร้องให้ รัฐบาลยุบสภาโดยเร็ว

เป็นการบังคับให้ประชาชนทนอยู่กับรัฐบาล ที่อ้างเจ้า อ้างสถาบัน ดึงฟ้าต่ำ ทำหินแตก แยกแผ่นดิน อย่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ ในปัจจุบัน

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

ยุบสภาทันที ทางออกที่เหมาะสมที่สุด

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 เมษายน 2553 ไม่ได้เป็นความสูญเสียครั้งสุดท้าย ของ วิกฤติการเมืองไทย เมื่อ 22 เมษายน 2553 ได้มีความสูญเสียเกิดขึ้นอีกครั้ง และ ยังมีสัญญาณความรุนแรง ที่ยังคงกดดันสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความหวาดระแวงว่า จะมีความสูญเสียเกิดขึ้นอีกครั้ง


สัญญาณความรุนแรง เกิดขึ้นจากรัฐบาล ศอฉ. หรือ ผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี โฆษก ศอฉ. และ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ทั้งนี้ผู้มีอำนาจได้มีความพยายาม และ ได้แสดงจุดยืน อยู่เสมอ ที่จะใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าสลายการชุมนุม หรือ การใช้กำลังขอคืนพื้นที่ หรือ แม้แต่ การปราบปรามผู้ชุมนุม

ประกอบกับความเคลื่อนไหว ของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เรียกร้องให้ประกาศกฎอัยการศึก และ ใช้กำลังจัดการ ประชาชน ในสองชั่วโมงก็เรียบร้อย และ ถ้ารัฐบาลไม่ทำ พันธมิตร ก็ จะทำเอง อีกทั้งยังมีสัญญาณ ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันระหว่าง รัฐ และ พันธมิตร ที่กำลังดำเนินกิจกรรม ดึงสถาบันเบื้องสูง ลงมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง สร้างความเกลียดชัง และ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลังกับ ประชาชนคนไทย ซึ่งมีความคิดที่แตกต่างจากรัฐบาล

เหล่านี้เป็นสัญญาณบอกเหตุ ว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้น หากรัฐบาลตัดสินใจใช้กำลังเจ้าหน้าที่ เข้าสลายการชุมนุม

ทั้งนี้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยง ความรุนแรงที่อาจก่อให้เกิดความสูญเสีย และ หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิด ความเกลียดชังร้าวลึก ขึ้นในสังคมไทย ทางออกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับวิกฤตินี้ คือ

“นายกรัฐมนตรี สมควรยอมเสียสละ ลงจากอำนาจด้วยการ ยุบสภาทันที เพื่อให้โอกาส พี่น้องประชาชนจำนวนนับ ล้าน ล้าน ได้ เลือกรัฐบาลชุดปัจจุบัน เลือกนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ให้กลับเข้ามาทำหน้าที่อีกครั้ง ให้ประชาชนที่สนับสนุน นายก อภิสิทธิ์ ได้มีโอกาส แสดงให้ นปช. แดงทั้งแผ่นดินได้เห็นว่า คนส่วนใหญ่ของประเทศ สนับสนุนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ดังที่รัฐบาลได้โฆษณาไว้”

เพียงเท่านี้ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ก็จะหมด เงื่อนไข หมดความชอบธรรม ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อต่อต้าน นายกอภิสิทธิ์ ในข้อครหาต่างๆเหล่านี้ คือ

นายกรัฐมนตรี เข้าสู่อำนาจโดยมิชอบ

เป็นรัฐบาลหุ่นเชิด ของอำมาตย์ ที่ไม่ได้มาจากพี่น้องประชาชนคนไทย

รัฐบาลกู้มาโกง ไม่เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่

รัฐบาลทรราช ไม่แสดงความรับผิดชอบ ต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น จากการใช้กำลังเจ้าหน้าที่

รัฐบาลชี้นำรัฐสภา ด้วยการต่อรองผลประโยชน์กับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อความอยู่รอดของตน

ซึ่งหากว่า นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุบสภาโดยเร็ว รัฐบาลก็ยังคงต้อง รักษาการต่อไปอีก ไม่ต่ำกว่า 45 ถึง 60 วัน และ ยังคงมีอำนาจเหนือ ข้าราชการประจำ ในช่วงเวลารักษาการ

รัฐบาลจะยังสามารถ รักษาภาพ ประชาธิปไตยใสสะอาด ไว้ได้ไม่มากก็น้อย

เชื่อเถอะครับว่า ประชาชนที่สนับสนุนคุณอภิสิทธิ์ ก็ จะยังคงสนับสนุนต่อไป ไม่เสื่อมคลาย ดังนั้น นายก ควรจะใช้โอกาสนี้ จัดการเลือกตั้งใหม่ ให้โอกาสพี่น้องประชาชน ได้เลือก พวกคุณ อีกครั้ง

ทำไมต้อง “ไม่” ยุบสภา

[ภาพถ่าย แก๊งหมอตุลย์ หมาเมิน]

หากผู้อ่านจะถามหาเหตุผลว่าทำไมถึงมีคนออกมาเรียกร้อง ให้รัฐบาล “ไม่ต้อง” ยุบสภา และให้เดินหน้าปราบปรามผู้ชุมนุม นปช. แดงทั้งแผ่นดิน แล้ว ข้อเรียกร้องของคนเหล่านี้ ชอบธรรม ตามหลักประชาธิปไตยหรือไม่ หรือว่ามีความตื้นลึกหนาบางอย่างไร ทำไม รัฐบาลจึงมีท่าทีตอบสนองคนกลุ่มนี้มากกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกร้องให้ยุบสภาในทันที

หากท่านผู้อ่านจะเริ่มพิจารณาจาก จุดเริ่มต้น ของการเรียกร้อง ท่านผู้อ่านคงไม่สามารถหนีพ้นจากการเริ่มต้นพิจารณาที่แกนนำในการเรียกร้อง จากนั้นจึงพิจารณาข้อเรียกร้อง พิจารณาเหตุผลที่ใช้สนับสนุนข้อเรียกร้อง และ พิจารณา วิธีการ ที่จะนำพากลุ่มคนหลากสีไปสู่จุดมุ่งหมาย คือ นายกไม่ต้องยุบสภา

บุคคลซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น ของขบวนการหลากสี ก็คือ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ หรือ หมอตุลย์ นั่นเอง หลังจากที่หมอตุลย์ ได้แอบตรวจเลือดคนเสื้อแดงแล้วจงใจเผยแพร่ออกสื่อสาธารณะว่า พบ เลือดวัว เลือดควาย ไวรัสเอดส์ ไวรัสตับอักเสบ จำนวนมาก จากเลือดที่ไปแอบตักมาจากพื้น หลังจากที่ นปช. นำไปเทที่ทำเนียบนั้น หมอตุลย์ก็หายเงียบไป จนออกมาเปิดตัวอีกครั้ง หลังเหตุการณ์ ฆ่าประชาชนที่สี่แยกคอกวัว

หมอตุลย์ เป็นสมาชิกของกลุ่มโหนเจ้า หรือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชัดเจน ทั้งการยึดทำเนียบ การยึดสนามบิน หมอตุลย์มีส่วนร่วมด้วยทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไม ทุกย่างก้าวหมอตุลย์ เดินตรงข้ามกับเส้นทางของ นปช. ตลอดเวลา

ผู้อ่านจึงสามารถที่จะสรุปได้ในส่วนของ แกนนำว่า เบื้องหลังนั้น มีอคติ แอบแฝงอยู่ในการกระทำของแกนนำคนหลากสีแน่นอน

จากนั้นท่านผู้อ่านจึงพิจารณาข้อเรียกร้องหลัก ของกลุ่มเสื้อหลากสีที่มีแกนนำซึ่งมีอคติ นั้น ชอบธรรมหรือไม่

ข้อเรียกร้องของกลุ่มหลากสีนำโดยหมอตุลย์นั้น มีข้อเรียกร้องหลักอยู่สองข้อคือ (1) เรียกร้องให้นายก ไม่ต้องยุบสภา และคัดค้านข้อเรียกร้องของ นปช. ที่เรียกร้องให้มีการยุบสภา และ (2) เรียกร้องให้รัฐบาลคืนความสงบสุขให้แก่สังคม – ผู้เขียนเห็นว่าข้อเรียกร้องทั้งสองนั้นเป็นข้อเรียกร้องที่ สามารถแสดงออกได้ตามสิทธิที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ

จากนั้นท่านผู้อ่านสามารถที่จะเริ่มพิจารณา เหตุผลที่ใช้ประกอบข้อเรียกร้อง ของกลุ่มหลากสีทั้งสองข้อ ว่าท่านผู้อ่านเห็นด้วยกับเหตุผลหรือไม่

ข้อเรียกร้องเพื่อไม่ให้ยุบสภานั้น กลุ่มหลากสี เชื่อว่า มาร์ค ยังคงเป็นผู้นำที่มีความชอบธรรม การยุบสภาไม่ใช่ทางออกของปัญหา และ จะก่อให้เกิดวงเวียน หรือ วงจร เดิมๆซ้ำอีก เช่น หากมาร์คยุบสภาแล้ว ประชาชนเลือก มาร์คให้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก ก็จะมีกลุ่ม นปช. ออกมาประท้วงอีก กลุ่มหลากสีจึงเสนอให้ นายก ปฏิรูปประเทศก่อนที่จะมีการตัดสินใจยุบสภา

ในส่วนข้อเรียกร้องที่จะให้รัฐบาลคืนความสงบสุขให้แก่สังคมนั้น คนหลากสีอ้างว่า เพราะกลุ่ม นปช. เป็นผู้ใช้ความรุนแรง ไม่เอาสถาบัน และ ริดรอนสิทธิของประชาชนโดยทั่วไป ทำให้สังคมไม่สงบสุข จึงต้องให้ผู้มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย ให้คืนความสงบสุขกลับมาให้พวกเขา

จากเหตุผลประกอบข้อเรียกร้อง ท่านผู้อ่านต้องพิจารณาให้ชัดเจนว่า ชุดความคิดของผู้เรียกร้อง เป็นชุดความคิดที่ตกผลึก และ ยุติธรรมหรือไม่ เหตุผลประกอบข้อเรียกร้องแรก ผู้เรียกร้องมั่นใจได้อย่างไรว่า ใครจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน เหมือนกับชุดความคิด ที่ดูถูกคนอื่นว่า “โง่” “ขาดข้อมูล” และ “ซื้อเสียงได้” กล่าวคือ หากมาร์ค กลับมาเป็นรัฐบาลอีก นปช. ก็จะกลับมาประท้วงอีก ซึ่งเป็นชุดความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย คือ ไม่ยอมรับในสิทธิและความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่าย ทั้งยังเป็นการดูถูกล่วงหน้าอีก เช่น เมื่อคนส่วนใหญ่เลือกมาร์คกลับมาอีก นปช. ซึ่งประกอบด้วยประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสน จะไม่รักษาสัจจะ หรือ อ้างว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร คือ กลุ่มคนหลากสีสรุปไปแล้วว่า ประชาชนเป็นโจร

สืบเนื่องมาจนถึงเหตุผลประกอบข้อเรียกร้องที่สอง คือ พูดให้ดูไพเราะ ว่า ให้รัฐบาลคืนความสงบสุข แต่แท้จริงแล้วคือการเรียกร้องให้ มาร์คใช้กำลังปราบปราม นปช. อย่างเด็ดขาด ซึ่งจะเห็นเป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะ วิธีการ ที่ใช้ในการเรียกร้อง มองเผินๆคือการชุมนุมเรียกร้อง และ ยื่นหนังสือ เหมือนการชุมนุมทั่วไป แต่เนื้อหาสาระ ที่เผยแพร่ กลับ สร้างความเกลียดชังและเพิ่มความขัดแย้งอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

กลุ่มคนหลากสี ใช้วิธีการ ดึงสถาบันเบื้องสูงลงมาเป็นเครื่องมือ ใสร้ายกลุ่ม นปช. โดยกล่าวหาว่า คนเสื้อแดงต้องการล้มล้างสถาบัน ยังมีการใส่ร้ายว่า คนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นพวกใช้ความรุนแรง เป็นพวกไม่มีความคิด คือ “โง่” “ขาดข้อมูล” และ “เงินซื้อได้”

สุดท้ายท่านผู้อ่านลองพิจารณาผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้นจากข้อเรียกร้อง ของกลุ่มเสื้อหลากสี ซึ่งจะมีผลลัพท์และทางออกให้แก่สังคมในทางใด ผู้เขียนจึงได้มอง ผลลัพท์ จากข้อเรียกร้อง ซึ่งอาจจะนำไปสู่เหตุการณ์ต่อไปนี้ (1) รัฐบาลไม่ยุบสภา นปช. ไม่เลิกชุมนุม จนรัฐบาลสลายการชุมนุมแล้ว นปช. กลับมาชุมนุมใหม่ (2) รัฐบาลไม่ยุบสภา นปช. ไม่เลิกการชุมนุม จนรัฐบาลสลายการชุมนุม แล้ว มีผู้โกรธแค้นใช้ความรุนแรงตอบโต้รัฐบาลและผู้สนับสนุนรัฐบาล (3) รัฐบาลไม่ยุบสภา นปช. ไม่เลิกชุมนุม พันธมิตรนำประชาชนเข้าสู้กับ นปช. จนเกิดความโกลาหลแล้ว ทหารทำรัฐประหาร แล้วมีประชาชนออกมาต่อต้านการรัฐประหาร

ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ผลลัพท์ที่เป็นไปได้จากข้อเรียกร้องของ หมอตุลย์และพวก ไม่ว่าจะออกมาในแนวทางใด มีความเสี่ยงที่จะเกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน ของประชาชนทั้งสิ้น

จากการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้ว ท่านผู้อ่านสามารถสรุปได้จากการพิจารณา แกนนำ พิจารณาข้อเรียกร้อง พิจารณาเหตุผลประกอบข้อเรียกร้อง พิจารณาวิธีการ และ พิจารณาความเป็นไปได้ของผลลัพท์จากข้อเรียกร้อง แล้ว ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ชัดทันทีว่า

กลุ่มหมอตุลย์ และ พวก กำลังดำเนินกิจกรรม ที่จะนำสังคมไทยไปสู่วงจรอุบาทว์ วงเวียนกรรม และ ความสูญเสียครั้งใหญ่ ภายใต้ข้อเรียกร้อง และ วิธีการที่กำลังปฏิบัติกันอยู่

การเรียกร้องไม่ให้ มาร์ค ยุบสภานั้น เป็นการเรียกร้องเพื่อคนส่วนใหญ่หรือไม่ เป็นการหยิบยื่นความจริงใจให้แก่สังคมหรือไม่ เป็นข้อเรียกร้องที่จะเป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชนหรือไม่

“ทำไมต้อง ไม่ ยุบสภา?” หากถามผู้เขียน ก็ตอบได้ทันทีว่า “เพราะจะเป็นการเสียอำนาจ เสียผลประโยชน์ และ เสียหน้า ของคนกลุ่มน้อย ผู้ที่นิยมความเป็น อภิสิทธิ์ชน เหนืออื่นใด”

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

ตรรกะอำมาตย์ ว่าด้วย “แม้ว ซื้อ อองซานซูจี”

ท่านผู้อ่านจำได้ไหมว่า มาร์ค จะเดินทางไปพม่าเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ต้องยกเลิกการเดินทางเมื่อ มาร์ค สะเออะ ไปเรียกร้องว่า ถ้ารัฐบาลทหารพม่าจะให้นายกไทยไปเยี่ยม นายกไทยก็จะขอเข้าพบ นาง อองซานซูจี ด้วย ทำให้รัฐบาลพม่าเกิดความกดดัน และ ได้ตัดสินใจไม่ง้อ ถ้าไม่มาก็อย่ามา ทำให้ มาร์ค ไม่ได้ไปเยือนพม่าในช่วงนั้น


เวลาผ่านไป จนล่าสุดพม่ากำลังจะจัดให้มีการเลือกตั้ง และ มีสื่อชื่อดังระหว่างประเทศได้ลงคำให้สัมภาษณ์ ของนางอองซานซูจี ที่ มาร์ค อยากพบ (หรือแค่ใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อไม่ต้องไปเยือนพม่า) อองซานซูจี ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลที่มาจากรัฐธรรมนูญเผด็จการไม่มีทางมีเสถียรภาพไปได้ โดยให้ดูตัวอย่างจากประเทศไทย ที่ ทหารทำรัฐประหาร นายกทักษิณ ที่มาจากการเลือกตั้ง จนเป็นเหตุให้มีความวุ่นวายมาจนถึงทุกวันนี้

ในเมืองไทยนั้น ต่างฝ่ายต่างก็คิดเข้าข้างตนเอง ต่างก็พยายามรักษาภาพพจน์เมื่อได้ยิน ได้อ่านคำให้สัมภาษณ์ ของสัญลักษณ์ตัวแทนประชาธิปไตยในพม่า ซึ่งได้มีความขัดแย้งชัดเจนกับ คนกลุ่มหนึ่งในเมืองไทยซึ่งมีความเชื่อว่า

การรัฐประหารชอบธรรม

รัฐธรรมนูญโจร 50 เป็นประชาธิปไตย

รัฐบาลที่เกิดจากรัฐธรรมนูญโจร มีเสถียรภาพตามหลักประชาธิปไตย

แน่นอน ผู้เขียนและแนวร่วม นปช. ไม่มีทางเห็นว่า สามประเด็นที่กล่าวข้างต้น จะเป็นความชอบธรรม หรือ จะเป็นประชาธิปไตยไปได้อย่างไร เพราะมันเป็นหลักพื้นฐาน ที่รัฐบาลปัจจุบันพยายามสร้างภาพให้มันผิดเพี้ยนไป

ไม่ว่ารัฐบาลมาร์ค หรือ นักวิชาการเผด็จการ หรือ นักสิทธิเอียงข้าง จะพยายามหาข้อแก้ตัวจากคำพูดของ นางอองซานซูจีอย่างไร ก็ ไม่สามารถทำให้มันฟังสมเหตุสมผลได้ทั้งสิ้น เริ่มเลยก็อ้างว่า นางอองซานซูจี ไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารครบถ้วน ต่อมาก็อ้างว่า นางอองซานซูจีไม่มีความเข้าใจในสถานการณ์การเมืองไทย อ้างเรื่อยไปจนถึงขนาดว่า นางอองซานซูจี รับเงินจากทักษิณ เพื่อมาพูดจาทำนองนี้

หากแม้นว่า คนไทยโง่พอที่จะเชื่อว่า ทักษิณจ้างอองซานซูจีมาพูด โลกทั้งโลกก็คงจะทำใจให้เชื่อยาก เพราะหากว่า อองซานซูจี จ้างได้ด้วยเงินแล้ว ทหารพม่าก็คงจะจ้างให้นางอองซานซูจี เลิกต่อต้านทหารไปนานแล้ว

ความแตกต่างระหว่าง มาร์ค และ อองซานซูจี คือความแตกต่างระหว่างความเชื่อในการยอมรับกฎหมายสูงสุดของประเทศ ความเชื่อของซูจี ซึ่งไม่ยอมรับผลผลิตของเผด็จการ กับ ความเชื่อของมาร์คซึ่งยอมรับและรักษาผลผลิตของเผด็จการ

ความแตกต่างระหว่าง มาร์ค และ อองซานซูจี คือความแตกต่างระหว่าง นางซูจีผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ กับนายมาร์คผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้กับอำนาจของสิทธิของประชาชนภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

หรือว่า นางอองซานซูจี ถูกจ้างโดย ทักษิณ เสียแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

ณัฐวุฒิ แถลง เสื้อแดงสะสมสรรพอาวุธพิชิตร้อยศพ ไว้เป็นจำนวนมาก

ณัฐวุฒิ แถลงข่าวยอมรับ คนเสื้อแดงสะสมสรรพอาวุธ ไว้เป็นจำนวนมาก พร้อม เตรียมแสดงวิธีการใช้งานพร้อมแสนยานุภาพ หลังการแถลงข่าว

เป็นที่แน่นอนแล้วว่า คนเสื้อแดง ได้สะสมอาวุธไว้เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ไม้ไผ่ปลายแหลม บั้งไฟพญานาค และที่สำคัญอาวุธร้ายแรงที่กำลังจะแสดงต่อไป

ฝรั่งถาม: what is it?
ณัฐวุฒิ ตอบ: it is a HAE
ฝรั่งถาม: WHAT?
ณัฐวุฒิ ตอบ: Yes it is a แห

จากนั้น ณัฐวุฒิ ได้เรียก เจ้าหน้าที่ ซึ่งได้รับสมญานามว่า ผู้พิฆาตร้อยศพ ขึ้นมาบนเวที และอธิบายอย่างขึงขังว่า เค้าคนนี้เคยพิชิตมาแล้วเป็นร้อยศพ ไม่ว่าจะเป็น ปลาช่อน ปลาดุก ปลาตะเพียร และ อีกมากมาย

จากนั้น เจ้าหน้าที่ ทะแห ที่ระดมคนเอาไว้พร้อมอาวุธ แห ครบครัน เพื่อต่อต้าน ทหาร จึงได้สาธิต วิธีการใช้อาวุธร้ายแรง ให้ดู โดยให้ผู้สื่อข่าวไปยื่นรวมกันอยู่ด้านข้างเวที

ฟุป!!! เสียงอาวุธ แห จากมือ ทะแห ครอบร่างผู้สื่อข่าวได้กว่าสิบคน

บรรดานักข่าวต่างชาติ อยากโดนบ้างจึงขอลองอีกรอบ

จากนั้นเสธ ไก่อู แห่ง หลังจากที่เกิดอาการช็อค เรื่องไม้ไผ่ เสียบไก่ไปแล้วรอบหนึ่ง ยิ่งกังวล ให้เจ้าหน้าที่ อยู่ห่างจากผู้ชุมนุมไม่น้อยกว่า 30 หลา พร้อมอาวุธ โบราณที่รัฐบาลไทยซื้อมา ทั้ง M19, ปืนลูกซอง, ปืนซุ่มยิงสไนปเปอร์ ระเบิดแก๊สน้ำตา เตรียมพร้อมเป็นจำนวนมาก

รัฐมนตรี กลาโหม กัมพูชา ลาว พม่า มาเลย์ ตกใจมาก เร่งสั่งทหารเหลาไม้ไผ่ปลายแหลม ตามแนวชายแดน เพราะเพิ่งจะพบว่า ทหารไทยกลัว ไม้ไผ่ปลายแหลม แต่ยังไม่มีประเทศใดทราบ เรื่อง อาวุธอันตรายของ ทะแหไทย

ปล. เอาขำๆซักเรื่องแล้วกันครับ

ฝรั่งเล่าให้ฟัง ก่อนเหตุระเบิด สีลม-ศาลาแดง




ฝรั่งชื่อ นาย แอนดรูว์ วอร์คเกอร์ พาเพื่อนสาวมาสังเกตการณ์ สภาพการชุมนุมครับ ตอนช่วงเย็น 6 โมงถึง 1 ทุ่ม

แอนดรูว์เดินข้ามจากฝั่งสีลมที่ควบคุมโดยรัฐบาลครับ ในขณะที่ฝั่งราชดำริควบคุมโดยฝ่ายเสื้อแดง เขาสังเกตเห็นความแตกต่างอย่างมากระหว่างสองฝั่ง ฝ่ายเหลืองสร้างสัญลักษณ์โดยการเผาทำลาย ชุดเสื้อแดง ใกล้กับสี่แยก ทำให้เกิดกลุ่มควันไฟ และ ดูเหมือนไร้สติที่คนต่างก็พากันวิ่งไปหากองไฟ พร้อมกับตะโกนเสียงดัง

ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลเคลื่อนไหวอย่างเกรี้ยวกราด ด่าทอไปยังฝั่งคนเสื้อแดง ข้อเท็จจริงเรื่องการชุมนุมเกินกว่า ห้าคน ท่ามกลางตำรวจนับร้อยไม่ได้มีความสำคัญแต่อย่างใด

จากนั้นแอนดรูว์ เดินข้ามไปยังฝั่งคนเสื้อแดง ซึ่งยังคงเสริมความหนาแน่นของด่านสกัด ที่ทำจากยางรถยนต์และไม้ไผ่ปลายแหลม แอนดรูว์รู้สึกถึงความสงบกว่าอย่างมากในฝั่งคนเสื้อแดง ซึ่งมีสุภาพบุรุษกับรอยยิ้ม แสดงอุปกรณ์ตบให้เพื่อนเค้าดู เพื่อนของแอนดรูว์พึ่งเคยมาเป็นครั้งแรก และ เธอรักมัน สภาพแวดล้อมทางฝั่งเสื้อแดง ผ่อนคลายกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นด้านฝั่งตรงข้าม แอนดรูว์ย้ำว่า ความหลงใหล และ จำนวนคนยังคงคงอยู่อย่างเข็มแข็ง

Silom 21 April
April 23rd, 2010 by Andrew Walker
As I crossed from the Government controlled Silom Road to Red Controlled Ratchadamri, I noticed a large difference between the two crowds. The yellow side proceeded to symbolically burn some red clothing quite close to the intersection. This created a cloud of smoke and a sort of frenzy as people ran towards the burning red shirt while shouting loudly. Pro-Government supporters were going wild shouting obscenities at the reds. It was quite the scene. The authorities kept clear of the “no colour” activities. The fact that they were staging a gathering of more than five right in the middle of hundreds of police officers didn’t seem to matter at all.

I then walked over to the red side where they were continuously constructing their encampment out of tires and sharpened bamboo. I crossed through to a much quieter environment where a gentleman with a huge smile presented my friend with a red clapper. She was visiting for the first time and loved it. The environment on the red side was actually quite relaxed compared to the activities taking place accross the street but passion is still high and numbers are still strong.

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

เผด็จการรัฐสภาฯ ประชาชนไร้ที่พึ่ง จึงต้องยุบสภาทันที




ช๊าดดด...เจน นี่แหละรัฐ ที่โดนกำทาง ......

ขอบอกว่าไม่ใช่ เพลงรัก “ชัดเจน” ของพี่ ติ๊กชิโร่ แต่เป็นความชัดเจนในความไร้ที่พึ่งของประชาชน ตามหลักประชาธิปไตยภายใต้ระบอบรัฐสภาฯ เมื่อมีความเสียหายต่อชีวิต และ ทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ถึง 25 ศพ และ กว่า 800 คนถูกกระทำให้เกิดความเจ็บปวดทางร่างกาย และอีกไม่ต่ำกว่าล้านคน ที่ต้องถูกกระทบให้เจ็บปวดทางจิตใจ นำมาซึ่งความคับแค้น ขัดข้อง เกลียดชังร้าวลึกไปในวงกว้างของสังคม

เมื่อ รัฐสภาไทย ปฏิเสธที่จะ ตั้งคณะกรรมาธิการสืบสวน สอบสวน ตรวจสอบ ให้ได้มาซึ่งสาเหตุและผู้ที่สมควรรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ ฆาตกรรม 25 ศพ ทำร้ายร่างกายกว่า 800 คดี และ ทำร้ายจิตใจกว่า ล้าน กรณี

รัฐสภาไทย เมื่อวานนี้ (วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553) ไม่รับญัตติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญสอบข้อเท็จจริง 10 เมษายน 53 ด้วยคะแนน 235 ต่อ 137 งดออกเสียง 3 ไม่ลงคะแนน 11 เสียง

เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เพื่อสร้างความกระจ่างใจให้โลกทั้งโลกได้รับรู้ ก็อาจจะมีเหตุผลที่สำคัญ และต้องสำคัญมากกว่าความตาย ของพี่น้องประชาชน จึงได้ปฏิเสธที่จะตั้ง กมธ. ในเรื่องนี้

แต่พฤติกรรมอันไร้เหตุผลมันฟ้องให้โลกได้รับรู้ มันชี้ให้เห็นชัดเจนว่า เมื่อผู้นำรัฐบาล หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา และได้ปฏิเสธที่จะใช้ช่องทางการตรวจสอบผ่าน สภาผู้แทนราษฎร จึงเป็นความชัดเจนที่ชี้ให้เห็นว่า รัฐสภาไทย กำลังเดินหน้าเข้าสู่ กระบวนการเป็นเผด็จการรัฐสภา

เมื่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น มีเพียงการรายงานโดยให้น้ำหนักกว่า ร้อยละ เก้าสิบห้า ผ่านสื่อกระแสหลัก ว่าเจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้เสียหายรายใหญ่ถึง 4 ศพ และ บาดเจ็บถึง 60 กว่าราย พร้อมเจาะลึกไปถึง ญาติพี่น้องของบรรดาทหาร ในขณะที่ อีก 21 ศพ และ บาดเจ็บ 800 กว่าราย เป็นเพียงการรายงานตัวเลข เท่านั้น

ประชาชนหวังพึ่งสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้อีกต่อไป สภาผู้แทนราษฎรไม่ยินยอมให้เป็นที่พึ่งอีกต่อไป

สภาผู้แทนราษฎรจึง สมควรหมดวาระลงไป

นายกรัฐมนตรีสมควรยุบสภา ทันที

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

ฝรั่ง สืบจากหลักฐาน 10 เมษา ปฏิบัติการขอพื้นที่คืน


ผมไปเจอบทความของ คุณ นิค ที่เผยแพร่ผ่านเวบไซท์ และเป็นเรื่องราวที่สื่อกระแสหลักในไทยยังไม่มีการพูดถึงกันแม้แต่นิดเดียว

คุณนิค เล่าว่า วันที่ 11 เขาได้ไปสำรวจ ถนนดินสอ และ สี่แยกคอกวัว เขาพบว่ารอยกระสุนที่เขาหาเจอทั้งหมด ยิงมาจากทิศทางที่ทหารบุกมาทั้งหมด เป็นรอยกระสุนจริงที่ยิงมาในระดับ เข่า ท้อง หัว และ เลยหัว

ในวันเดียวกัน นิค ยังได้ไปสำรวจร่องรอยที่ถนนตะนาว จึงพบร่องรอยที่คลายคลึงกัน ยกเว้นแต่ไม่มีซากรถถังและรถฮัมวี เท่านั้น รอยกระสุนจริงส่วนใหญ่ถูกยิงจากทางทหารไปสู่ผู้ชุมนุม มีบางรอยที่ยิงจากผู้ชุมนุมไปในทิศทางที่ทหารปฏิบัติการอยู่ นิค เดาว่าน่าจะเป็นรอยกระสุนจากคนชุดดำ



Mourning and defiance

April 15th, 2010 by Nick Nostitz,

The day after the clashes, April 11, I walked the two sites of the battles – Thanon Dinso and Khok Wua intersection – looking at evidence. At Dinso, the second clash site, several vandalized tanks and humvees remained. The unit designations at the army vehicles were covered with tapes, hiding the unit identities (also during the battle soldiers refused to answer questions regarding unit). Between the tanks two were holes in the tarmac – blasts of grenades which killed and injured several soldiers. The street was spiked with bullet holes. I only found holes from the direction of the army towards the protesters – in the height of knees, stomach, heads and over the heads.

At the first site of the clashes – at Khok Wua intersection and Thanon Thanao, a similar picture of destruction, just without the tanks and humvees. I found again many bullet holes, mostly from the direction of the army towards the protesters, but here also from the direction of the protesters, assumed to be fired by the now infamous black dressed group of fighters.

Democracy monument was covered in graffiti.

On April 12 I went to Pinklao Bridge, where the leftover army vehicles were lifted off the street, to make way for a Royal motorcade that was to pass there the next day. I noticed two scribbling on two of the humvees asking the outside world for help.

At Democracy Monument coffins were laid out. The wife and younger sister of a killed protester were weeping. I could not stay long there, it was just too gut wrenching.

April 13 I went to Dinso. Many graffiti appeared at the tanks and humvees. Other graffiti was written at graffitti at Sattriwitthaya School, where snipers were located during the battle. In between were small makeshift shrines with offerings at locations where protesters lost their lives, dried blood still visible, a slight smell of death. Groups of protesters stood around and discussed the events, listening to descriptions of fellow protesters who were present during the battle. Others posed at the tanks for pictures in postures of defiance.
........................................................

นิค พูดตรงกันกับพี่น้องประชาชนหลายคนที่ อยู่ในเหตุการณ์ พยานในเหตุการณ์จำนวนมาก พร้อมกับร่องรอยกระสุน เป็นหลักฐานชั้นดี ที่ชี้ให้เห็นว่า อาวุธสงครามได้ถูกนำมาใช้งาน ในปฏิบัติการสลายการชุมนุมของพี่น้องประชาชน

การยิงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ ของเผด็จการต่อต้านประชาธิปไตยชัดเจน

รถถัง รถฮัมวี่ อาวุธสงคราม คราบเลือด รอยกระสุน พยานในเหตุการณ์

ทำไมสื่อไทยความรู้สึกช้า ไร้ความรู้สึก เช่นนี้

ทำไมรัฐบาลไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ

ทำไมยังไม่ยุบสภาฯเสียที


อ้างอิง

Thank you and credits to Nick Nostitz for the brave voice, which slap our fake democrat government on the face. There is not any Thai main stream media report these bullet holes.
http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2010/04/15/mourning-and-definance/

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

ศอฉ. (อนุพงศ์) ต้องใช้ สื่อ ลดความขัดแย้ง ความเกลียดชัง ทันที


หลังจากที่ มาร์ค สับ เทือกออกจาก ผอ. ศอฉ. แล้วตั้งอนุพงศ์ รับหน้าที่แทน ผู้เขียนไม่มั่นใจว่าพลเอก อนุพงศ์ จะมีความเข้าใจในสถานการณ์ ลึกซึ้งเพียงใด ทั้งนี้ ผู้เขียนมั่นใจว่า อย่างน้อย อนุพงศ์ ทราบอยู่แล้วว่า มีผู้เสียชีวิต มากกว่า 20 ราย และ ผู้บาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 800 ราย จากปฏิบัติการพลีชีพ ขอพื้นที่คืน ของบูรพาพยัคฆ์

ผู้เขียนไม่มั่นใจว่า ในความคิดของ พลเอก อนุพงศ์ เห็นการสั่งการให้ปฏิบัติหน้าที่ หลังฟ้ามืดที่สี่แยกคอกวัว เป็นการสั่งการที่ผิดพลาดในเชิงยุทธการหรือไม่ ผิดมาตรฐานสากลในการใช้กำลังทหารหรือไม่ สิ่งที่ อนุพงศ์ ในฐานะ ผอ. ศอฉ. สมควรเร่งกระทำคือ การลดระดับความเกลียดชัง ความขัดแย้งในสังคมเพื่อให้ ความฉุกเฉิน ได้ผ่อนคลายความตรึงเครียดลงตามลำดับ

ถึงแม้นว่า อนุพงศ์ จะไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง หรือ สนับสนุนรัฐบาลเต็มรูปแบบก็ตาม ผอ. ศอฉ. สมควรที่จะสั่งการเร่งด่วนให้มีกิจกรรมลดความตรึงเครียด ลดความเกลียดชังในสังคมไทย


แนวทางที่ชัดเจนและรวดเร็วที่สุดคือการยกเลิกคำสั่ง ปิดกั้นสื่อ ยกเลิกคำสั่งควบคุมข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านสื่อกระแสหลัก

ภาพที่สังคมไทยเห็นได้ชัดเจนคือ การฉายซ้ำ เผยแพร่ซ้ำ ภาพและเสียงทหารที่ถูกกระทำ ทั้ง 4 ศพ และเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 60 กว่านาย อีกทั้งยังมีการเผยแพร่ความรู้สึกของญาติพี่น้องของทหาร ที่บาดเจ็บและล้มตายเหล่านั้น ผ่านสื่อรัฐและสื่อกระแสหลักอย่างหนัก ในขณะที่ไม่มีภาพข่าวของประชาชนผู้เสียชีวิตทั้ง 19 ชีวิต และ ผู้บาดเจ็บอีกกว่า 800 รายนั้น ถูกปิดกั้นในทุกรูปแบบ

เหล่านี้สร้างความเกลียดชัง บาดลึกมากขึ้นระหว่างประชาชนและรัฐบาล และจะแพร่กระจายออกไปต่อเนื่องเมื่อรัฐได้จัดตั้งประชาชนผ่านเครือข่าย พันธมิตร เพื่อเตรียมปะทะกันกับประชาชนคนเสื้อแดง

พลเอก อนุพงศ์ ต้องสั่งการให้ยกเลิกการปิดกั้นสื่อทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ เวบไซท์ และ หนังสือพิมพ์ ในทันที เพื่อให้ประชาชนมีพื้นที่ระบายออก ให้ญาติพี่น้องของผู้ตาย และ ผู้บาดเจ็บ ได้มีโอกาส เช่นเดียวกันกับญาติพี่น้องของเจ้าหน้าที่ทหาร

พลเอก อนุพงศ์ ต้องใช้อำนาจที่มีในตำแหน่ง ผอ. ศอฉ. ถอนทหารออกจากที่ทำการของสื่อมวลชน และ ลดแรงกดดันสื่อเหล่านั้น เพื่อให้สื่อต่างๆได้ใช้วิจรณะญาณ ในการนำเสนอข้อมูลแบบตรงไปตรงมา

หากทำเช่นนี้ได้ อนุพงศ์ จะสามารถช่วย ลดแรงแค้น ความเกลียดชังในสังคมลงได้ แน่นอน และจะเป็นการเยียวยาอารมณ์รุนแรง อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

พลเอก อนุพงศ์ ได้โปรดยกเลิกคำสั่งปิดกั้นสื่อ และ กดดันสื่อกระแสหลัก เพื่อความสงบสุขของประชาชนคนไทยต่อไป
หยุดปิดกั้นสื่อ หยุดกดดันสื่อ เพื่อภาพลักษณ์ของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลเสียที

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

ปฏิบัติการอำมหิต ขอคืนพื้นที่: ตอน สังเวย “บูรพาพยัคฆ์”

รัฐบาลภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำซึ่งไร้สำนึกในความรับผิดชอบ ยากที่จะแยกแยะชั่วดี ได้เริ่มเปิดฉาก ปฏิบัติการที่ตั้งชื่อสวยหรูว่า ปฏิบัติการขอพื้นที่คืน แต่ ไม่ว่าจะตั้งชื่อไพเราะสวยหรูเพียงใด ก็ไม่สามารถปกปิดความรุนแรงที่เกิดขึ้นในคำสั่งสลายการชุมนุมครั้งนี้ได้

เริ่มต้นที่ เวลาบ่ายโมง วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 ทหารภายใต้การนำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เริ่มระดมยิงแก๊ซน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมที่บริเวณราชดำเนิน โดยมีเป้าหมายเพื่อสลายการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชน จนเกิดการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ระหว่างผู้ชุมนุมกับทหาร

เวลา สี่โมงเย็น จนถึง ห้าโมงเย็น เริ่มมีรายงานประชาชนได้รับบาดเจ็บจาก อาวุธสงคราม เป็นแผลกระสุนซึ่งมีทางเข้าเล็ก แต่ทางออกของกระสุนใหญ่เท่าลูกปิงปอง คาดว่าเป็นอาวุธปืน เอ็มสิบหก [M16] มีผู้บาดเจ็บหลายรายจากอาวุธสงครามทั้งกระสุนจริงและกระสุนยาง แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถสลายการชุมนุมได้สำเร็จ


รัฐบาลสั่งการโจมตีเพื่อสลายการชุมนุมทางอากาศเมื่อเวลาประมาณ หกโมงเย็น โดยใช้เฮลิคอปเตอร์ ทิ้งระเบิดแก๊สน้ำตาลงกลางฝูงชนที่สะพานผ่านฟ้าไปจนถึงเวทีปราศรัย ผู้ชุมนุมตอบโต้กลับด้วยการปล่อยลูกโป่งสวรรค์ และ โคมลอยสำหรับเทศกาลสงกรานต์ ทั้งนี้มีรายงานว่า ผู้ชุมนุมที่ทนเห็นพี่น้องประชาชน ดมแก๊สน้ำตาไม่ไหว ได้ใช้อาวุธปืน ยิงขู่เฮลิคอปเตอร์

มีรายงานว่าผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่นเสียชีวิต จากกระสุนจริง หลังจากที่รัฐบาลสั่งการสลายการชุมนุมต่อเนื่องตอนประมาณสองทุ่มกว่าๆ มีประชาชนเสียชีวิตจากอาวุธสงคราม ทั้งที่หน้าอกและศีรษะ ที่พื้นที่สี่แยกคอกวัว

ทหารเคลื่อนไหวกดดันต่อเนื่อง จนมีรายงานผู้บาดเจ็บกว่าร้อยคน และมีรายงานผู้เสียชีวิตเกิน เจ็ดคนในขณะนั้น รัฐบาลยังคงคำสั่งเร่งรุก กดดัน จนเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง

ทหารสายบูรพาพยัคฆ์ นำโดย พล ต. วลิต โรจนภักดี, พ.ท. เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช และ พ. อ. ร่มเกล้า ธุวธรรม ถูกโจมตีด้วยอาวุธสงคราม เอ็มเจ็ดสิบเก้า [M79] ทำให้ นายพล วลิต ขาหักสามท่อน จนอาจจะต้องตัดขา ส่วน พันโท เกรียงศักดิ์ ต้องผ่าตัดสมองเอาสะเก็ดระเบิดออก ในขณะที่ ดาวรุ่งสายบูรพาพยัคฆ์ อย่าง พันเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม ต้องจบชีวิตลง ถึงแม้นว่าจะเปรียบเทียบไม่ได้กับ 20 ศพ และ ผู้บาดเจ็บกว่า 800 ราย แต่นัยยะสำคัญ ของความสูญเสียนี้ คือ ทหารตัดสินใจจะไม่ดำเนินการสลายการชุมนุมอีกต่อไป

ไม่ว่าจะเป็น พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว. กลาโหม, พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ. ทบ, พลเอก ประยุทธิ์ จันทร์โอชา ว่าที่ ผบ. ทบ., พลโท คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 รอคิว ผบ. ทบ. ต่อจาก พลเอกประยุทธิ์ และ สุดท้าย พลตรี วลิต โรจนภักดี ผู้กลายเป็นทหารขาพิการไปเสียแล้ว บรรดารายชื่อในบทความนี้ล้วนเป็น สายตรง นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา หรือ ป๋า ของเราทั้งสิ้น เหล่าบรรดา บูรพาพยัคฆ์ผู้ครองอำนาจในกองทัพบกมาเป็นเวลายาวนาน กำลังจะได้รับ ผลตอบแทน จากการตัดสินใจรับฟังคำสั่งรัฐบาลอำมาตย์

ไม่จำเป็นที่จะต้องมีหลักฐานยืนยัน ก็ เชื่อได้ว่า ลูกป๋าเท่านั้นจึงจะได้เป็นใหญ่ในกองทัพบก

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการสลายการชุมนุมจนมีประชาชนเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง คือ มีมือที่สาม ที่รัฐบาลกล่าวอ้าง หรือ มีนักรบโรนินที่ เสธ แดง กล่าวอ้าง หรือ ทหารแตงโม ตามที่จตุพรกล่าวอ้าง ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ทหารเหล่านี้ ทนไม่ได้ ที่รัฐบาลยังคงคำสั่งสลายการชุมนุมต่อเนื่องแม้นว่าจะมืดค่ำแล้วก็ตาม ทหารเหล่านี้ทนไม่ได้ที่มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ เสียชีวิตไปแล้วนับสิบ และ บาดเจ็บหลายร้อย

การตัดสินใจเอาคืนแทนพี่น้องประชาชนครั้งนี้ เชื่อเหลือเกินว่า หาก บูรพาพยัคฆ์ ยังคงรับคำสั่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ต่อไป ก็คงจะต้องถึงจุดจบไปในเวลาอันรวดเร็ว

หากบูรพาพยัคฆ์ ยังอยากมีที่ยืนอยู่ในกองทัพไทย ก็ต้องหยุด หยุดช่วยรัฐบาลกระทำการอำมหิต คิดสลายการชุมนุมของประชาชน แล้วปล่อยให้ การเมืองสู้กันทางการเมืองถ้าจะให้ดี

บูรพาพยัคฆ์ เดินไปกระซิบมาร์ค บอกให้ ยุบสภาทันที

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

ความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี ทรราช


อย่ามาอ้างว่าที่สั่งทหารสลายการชุมนุม เป็นทางออกสุดท้าย อย่ามาอ้างว่าไม่มีทางเลือก จึงได้สั่งการสลายการชุมนุม ถึงแม้นว่าจะตั้งชื่อสวยหรู ไพเราะแค่ไหน อย่าง ปฏิบัติการขอพื้นที่คืน หรือ อะไรก็ไม่สามารถอ้างได้ เพราะ “ถ้าไม่สั่งทหารบุก จะมีคนตายหรือไม่” แล้วทางเลือกอื่นๆ เช่น ปล่อยให้ประชาชนชุมนุมกันต่อไป หรือ แสดงความจริงใจเพื่อขอเจรจา หรือแม้แต่ ยุบสภา เหล่านี้ไม่ใช่ทางออกหรืออย่างไร

อย่ามาอ้างว่า ทหารทำตามขั้นตอนสากล จากเบาไปหาหนัก อย่ามาอ้างว่าปืนจริงยิงขึ้นฟ้าและป้องกันตัวเท่านั้น เพราะแม้แต่ ฝรั่งที่นั่งดูเฉยๆ ยังได้เห็นภาพประชาชนนั่งท้ายรถกระบะถูกยิงคร่าชีวิต คาหูคาตา (อ่านสิ่งที่พยานชาวต่างชาติเห็นที่
http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/8613482.stm )

นาทีนี้ นายกรัฐมนตรีของชนชั้นสูง นายกของอำมาตย์ ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการแสดงความเสียใจผ่านทีวีเท่านั้น เป็นการแสดงความรับผิดชอบโดยการพยายามโยนขี้ ให้ประชาชน นายก ออกมาแถลงออกทีวี ว่า จะพิสูจน์ จะชันสูตรศพ แล้วคงป้ายสีว่าไม่ใช่ปืนทหาร หรือ ทหารแค่ป้องกันตัวในที่สุด จากลักษณะที่ มาร์ค ออกมาแถลงการณ์ มันบ่งบอกถึงความพยายามที่จะลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ไม่ได้มีความพยายามที่จะรับผิดชอบแต่ประการใด มีแต่ความพยายามที่จะปิดปากครอบครัวของผู้สูญเสียด้วยเศษเงิน เหมือนกรณี จ่าเพียร ไม่มีผิด

วันนี้รัฐบาลแสดงออกด้วยความพยายามปิดข่าว ลดกระแสความรุนแรงที่รัฐบาลได้สร้างขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ภาพข่าว ภาพถ่ายมันฟ้องว่ารัฐบาลสร้างความรุนแรง แต่บีบปากนักข่าวให้พูดว่า ผู้ชุมนุมสร้างความรุนแรง

จริงๆแล้ว สิ่งที่มาร์คสมควรทำ คือ แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือ ยุบสภาในทันที ตามที่ผู้ชุมนุมเรียกร้อง จึงจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบที่จริงใจที่สุด การปฏิเสธข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า นาย อภิสิทธิ์ ไม่มีความจริงใจในการแสดงความรับผิดชอบ แต่กลับมีความพยายามแสดงตนว่า ทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นความผิดของประชาชน

สร้างเรื่องโกหก ใส่ร้าย ป้ายสี กระทำการเหยียดหยาม ประชาชนคนไทย โดยไม่ให้ความสำคัญในชีวิต ของประชาชน เป็นสิ่งที่ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันกำลังทำอยู่

เห็นได้ชัดว่า มันเป็นความอาฆาต มาดร้าย อำมหิต ที่ อภิสิทธิ์ ได้แสดงให้โลกทั้งโลกได้เห็น


นายกต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการ ยุบสภา แล้ว เดินทางออกนอกประเทศ ทันที

วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553

เหลือฉากสุดท้าย มาร์ค ต้องบีบน้ำตา เอาตัวรอด




เหตุผลในการประกาศ พรก. ฉุกเฉิน ฟังไม่ขึ้น ถึงจะมานั่งผงกหัว หงึก หงึก หงึก ก็ ฟังไม่ขึ้น เอาเรื่องบุคคล ไปจำกัดสิทธิเสรีภาพของคนอื่นๆจำนวนมากนั้น เป็นการกระทำที่จงใจ สร้างสถานการณ์ให้ประชาชนที่ใช้ สิทธิชุมนุม ตามรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้สิทธิ ที่ผิดกฎหมายเผด็จการ

ยิ่งเหตุผลในการปิดสื่อ ยิ่งฟังแล้วแย่กว่าเป็นไหนๆ ทั้งเป็นคำสั่งที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ทั้งเหตุผลที่ใช้ มาร์ค อ้างว่าการปิดสถานีจะเป็นการ ช่วยลดการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร และลดการแพร่กระจายของความเกลียดชังในสังคมไทย ทั้งๆที่เพียงปลายนิ้วกดรีโมทย์ ไปช่องหอยม่วง หรือ เอเอสทีวี รัฐบาลก็เป็นต้นเหตุแห่งความเกลียดชังเสียเองแล้ว

การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐ ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นแล้วว่า มาร์ค เองต่างหาก ที่ได้สร้างความเกลียดชัง ความขัดแย้ง และ ความวุ่นวายในสังคมไทย จนไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ในเวลาอันรวดเร็ว การที่รัฐบาล ใช้อำนาจผ่านสื่อรัฐ บีบสื่อกระแสหลัก ให้ ชี้นำสังคม ปกป้องเพื่อนพ้องจากการกระทำทุจริต เหยียบย่ำความคิด การแสดงออก ของพี่น้องประชาชนที่เห็นต่างนั้น เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า มาร์คเอง ได้เป็นผู้ริเริ่มให้สังคมไทยวุ่นวายมาจนถึงทุกวันนี้

ส่วนพี่น้องประชาชนนั้น เพียงแต่ แสดงออกถึงความจริง ทั้งความจริงในอดีต และ ความจริงวันนี้ ที่ทำให้พวกเขามีความมั่นใจในความชอบธรรมของตน มีความเชื่อมั่นในหลักประชาธิปไตย มีโอกาสที่จะมีความหวัง ว่าประเทศไทย สังคมไทย อนาคตของลูกหลาน จะดีขึ้นกว่านี้ มากมาย หากสามารถ นำชัยชนะกลับบ้านได้ในครั้งนี้

ถึงจะมานั่งผงกหัว หงึก หงึก หงึก หงึก จะหงึกแค่ไหน มันก็ไม่เพิ่มความชอบธรรมให้มาร์คใช้อำนาจเผด็จการสั่งการปิดกั้นการสื่อสารของประชาชนทั้งสิ้น ข้ออ้างต่างๆที่ใช้มันเบาบางเพียงขนนุ่นที่ลอยลม มันไม่มีน้ำหนักพอที่จะสั่งการขัดกฎหมายสูงสุดของประเทศ ที่ใช้บังคับอยู่ ถึงแม้นว่าจะเป็นกฎหมายโจรกบฏก็ตาม

ณ วินาทีที่ มาร์คสั่งการขัดรัฐธรรมนูญ โดยการสั่งปิดการสื่อสารของคนเสื้อแดงทุกรูปแบบนั้น มาร์คได้สลายทำลายทองออกของตนจนเกือบสิ้น เหลือเพียงทางออกสุดท้ายจริงๆ ที่จะไม่ทำให้มาร์คเป็นเผด็จการ ทรราช ซึ่งทางออกนั้นคือ ………

การออกทีวีรายการพิเศษครั้งสุดท้าย ตีหน้าเศร้า เล่นละคร บีบน้ำตา ขอความเห็นใจจากพี่น้องประชาชนว่าตนได้สำนึกแล้วถึงการกระทำที่ผ่านมา จากนั้นก็ประกาศ ยุบสภาฯ ในทันที

ทรราช แมงสาปจอมเผด็จการ ปิดกั้นสื่อ




รัฐบาลจะอ้างว่าอย่างไร จะอธิบายอย่างไร ก็ตาม การที่จะใช้อำนาจปิดกั้นการสื่อสารโดยใช้อำนาจตาม พรก. ฉุกเฉิน นั้น รัฐบาลจำเป็นจะต้องชี้แจงหลักฐาน ด้วยความรวดเร็ว ไม่ใช่แค่กล่าวหากัน ผ่านสื่อที่ตนควบคุมได้

หากรัฐเพียงอาศัยอำนาจ ปิดกั้นการสื่อสารของพี่น้องประชาชนโดยไม่ชี้แจงหลักฐานแล้ว อ้างว่าสื่อเหล่านั้นมีการบิดเบือนข้อมูล มีการปลุกระดมประชาชนให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรแล้ว มันก็เป็นการกระทำที่หนีไม่พ้น ข้อกล่าวหาเผด็จการ ทรราช นั่นเอง

นาทีที่รัฐปิดกั้นสื่อเหล่านี้ รัฐจำเป็นจะต้องชี้แจงด้วยว่า สื่อที่ถูกปิดนั้น บิดเบือนข้อมูลอย่างไร และ ส่อไปในทางปลุกระดมมวลชนให้เกิดความเสี่ยงต่อ ความมั่นคงของชาติอย่างไร

นาทีนี้ รัฐเพียงใช้อำนาจที่มีอยู่สั่งการให้ปิดกั้นสื่อโดยไม่มีหลักฐานมาชี้แจงประชาชน มองข้ามมาตรฐานสากล ใช้อำนาจข่มขู่สื่อกระแสหลัก ทำให้สภาวะข้อมูลข่าวสารตีบตัน และ ไม่ให้ความสำคัญต่อสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชนทั่วไป

วันนี้รัฐบาลหนีไม่พ้นข้อครหา เผด็จการทรราช เพราะมีพฤติกรรมบิดเบือนข่าวสาร ปิดกั้นสิทธิสื่อสาร ของพี่น้องประชาชน บังคับใช้กฎหมายโดยมิชอบ และ ยั่วยุสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงขึ้นในประเทศชาติ

ล่าสุดเรียก นักข่าวต่างประเทศกว่า 30 คนเข้าไปชี้แจง หรือหวังจะเรียกไปขู่ หรือตั้งใจจะอธิบายว่าทำไมถึงปิดกั้นการสื่อสารของพี่น้องประชาชน

รัฐบาลจะแสดงหลักฐานให้ สื่อต่างชาติดูหรือไม่ ว่า คนเสื้อแดงบิดเบือนข้อมูลอย่างไร ประเด็นไหน ให้ข้อมูลเท็จแก่พี่น้องประชาชนอย่างไร ประเด็นไหน มีหลักฐานมาแสดงหรือไม่

ใช่ประเด็นเทือกดันดารา หรือไม่ หรือ ประเด็น มาร์ค หนีทหาร หรือ ประเด็น นายกสั่งสลายการชุมนุมเมื่อเดือน เมษายน ปี 52

ผู้เขียนเชื่อว่า รัฐบาลกำลังบิดเบือนสาระสำคัญ และ ใช้อำนาจโดยมิชอบ ในการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ ในการสื่อสารของพี่น้องประชาชนชาวไทย

แม้แต่เหตุผลในการประกาศ พรก. ฉุกเฉิน ก็ไร้ความชอบธรรมแล้ว รับบาลใช้ความเชื่อเป็นตัวตัดสินเช่นนี้ มาตรฐานการกดขี่พี่น้องประชาชน ของ รัฐบาล ไม่เคยตกเลยจริงๆ

รัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลแมงสาปจอมเผด็จการ ทรราช แน่นอนแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

มาร์ค หน้าด้าน ขอเวลาโกงอีก 9 เดือน ก่อนยุบสภา

ให้อันทะมิด และ เครือข่าย ออกมาคัดค้านการยุบสภา ทั้งๆที่ มาร์คเองก็ ได้แสดงให้พี่น้องประชาชนเห็นแล้วว่า ยุบสภา คือทางออกของประเทศชาติ เพียงแต่ติดประเด็นตรงที่ว่า มาร์คจะขอเวลาผ่านงบประมาณ และ โยกย้ายข้าราชการ ก่อนที่ตนเองจะประกาศยุบสภา นี่ยังไม่รวมถึงการเตรียมความพร้อมของ พรรคตนเองเพื่อเข้าสู่สนามเลือกตั้ง

มาร์คอ้างว่า จะยุบสภาเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่ใครบ้างที่เชื่อคำหลอกลวงของมาร์ค ผู้เขียนเห็นว่า ไม่มีใครรอบข้างผู้เขียนเลยที่เชื่อเช่นนั้น

ประวัติการโกงของรัฐบาลชุดนี้ได้สร้างความเจ็บช้ำไม่น้อย ต่อประชาชนจำนวนมาก

ผู้เขียนขอแนะนำ ข้อมูลด้านล่างประกอปการตัดสินใจ ว่าพี่น้องประชาชนควรยินยอมให้มาร์ค และ ลิ่วล้ออำมาตย์ อยู่ต่อไปถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่













ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกัน รณรงค์กดดัน ให้ อภิสิทธิ์ และ นักการเมืองร่วมรัฐบาลโกง ตัดสินใจ
ยุบสภา ทันที



วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

รสนา รู้บ้างไหม หมาตัวเมีย พวกฝรั่งเค้า เรียกว่า “Bitch”


การจะพาเพื่อนอีก 39 คนไปจมน้ำตายก่อนวัยอันควรนั้น เป็นบาปอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการดึงเอา เบื้องสูง ลงมาเป็นเครื่องมือในการทำร้ายประชาชนเช่นที่คุณกำลังทำอยู่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้เด็ดขาด

ผู้เขียนไม่เคยเห็น 40 สว. ซึ่งนำทีมโดยคุณรสนา ออกมาแสดงจุดยืนเรื่องที่ ลิ๊มโกเต๊ก เอา คลิปหมิ่นเบื้องสูงของดาตอปิโด ไปเผยแพร่ซ้ำเลยสักครั้งเดียว นี่หรือ คือพฤติกรรมที่คุณ และ พวก อ้างว่าจงรักภักดีกว่าประชาชนคนเสื้อแดง

คนเสื้อแดงเขาเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับ ลิ๊มโกเต็ก ผู้สร้างความเสื่อมเสียให้แก่สถาบัน และ แน่นอน ลิ๊มดกเต๊ก ทำสิ่งผิดกฎหมายชัดเจน แต่รัฐบาลไม่เร่งดำเนินคดี กลับปล่อยให้ รักษาการ ผบ. ตร. ดึงเรื่องเอาไว้ ในขณะที่คุณรสนาเองนั้น ไม่เคยแม้แต่จะคิด ที่จะเตือนให้รัฐบาลอำมาตย์ชั่วชุดนี้ เร่งดำเนินคดีกับ ผู้ที่จงใจนำข้อมูลหมิ่นเบื้องสูงไปเผยแพร่ซ้ำ

พฤติกรรมของคุณ รสนา มันทำให้ประชาชนเชื่อได้ว่า คุณมันเลวจริงๆ

คุณพาพวก มานั่งแถลงข่าวใส่ร้ายประชาชนว่า จะสร้างความรุนแรง ว่าจะล้มจ้าว พอโดนถามว่าเอาข้อมูลมาจากไหน ทำไม พวกคุณทำอึ้งกันไปหมด

นี่มันใส่ร้ายชัดๆ

คนที่จะเป็น สว. น่าจะมีวุฒิภาวะ สูงกว่านี้นะครับ จะกล่าวหาอะไรใคร น่าจะมีแหล่งข่าว หรือ หลักฐานที่น่าเชื่อถือกว่านี้ นี่แค่โดนนักข่าวถามถึงกับอึ้ง ถึงกับเดินหนี

แต่ถ้ามองโลกในแง่ดี ผู้อ่านก็จะเห็นได้ชัดเจนขึ้นว่า สว. ลากตั้ง ของ โจรกบฏ โดยเฉพาะ 40 สว. ในกลุ่ม อีนังรสนา นั้น มันทำได้ทุกอย่าง นี่เป็นการประจานตัวเองที่น่าอายที่สุด

พวกคุณ ปกป้อง รัฐบาล และ นายกรัฐมนตรี ที่ได้อำนาจมาโดยมิชอบ ยังไม่พอ พวกคุณยังจะมากล่าวหาใส่ร้ายประชาชน ว่าเข้าจะก่อความรุนแรงบ้าง ว่าจะล้มล้างสถาบันบ้าง

สิ่งที่พวกคุณออกมาแถลงข่าวนี่ คงวางแผนกันไว้แล้วใช่มั๊ย ว่าจะสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายผู้ชุมนุมอย่างไร

พวกคุณคิดว่าประชาชนเค้าโง่ขนาดที่มองไม่ออกหรือว่า ไอ้ความรุนแรง ระเบิดตูมตาม ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น เป็นฝีมือของรัฐบาลอำมาตย์ทั้งนั้น พวกคุณไม่มองตรรกะ บ้างหรือว่า ทหาร 75,000 ถึง แสนนาย ที่รับเบี้ยเลี้ยงอยู่ในกรุงเทพฯ นี่ ทำไมยังป้องกันเหตุระเบิดไม่ได้

ทำไมหน่วยข่าวกรองทหาร ที่มีงบประมาณมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ถึงไม่สามารถสืบทราบได้ว่าใครทำ ใครยิง ใครปาระเบิด ในเขตเมืองหลวงของประเทศ

อย่างนี้คุณจะให้พี่น้องประชาชนเค้าเชื่อกันได้อย่างไร

คุณมันไร้ค่า ไร้ราคา ในสายตาประชาชน

คุณมันสร้างเรื่อง ด้วยความหน้าด้าน ใส่ร้ายพี่น้องประชาชน

คุณรู้บ้างไหม ว่าพฤติกรรมแบบนี้ พวก ฝรั่งเขาจะด่าคุณเอาได้ ว่า

You are a nasty old BITCH!!!