วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

โคตรจะมาร์ค เลยหว่ะ ภาคสอง: จากโลกไซเบอร์ สู่แนวทางปฏิบัติ


เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2552 ผู้เขียนได้ สนทนากับนักรบไซเบอร์ คนเสื้อแดงท่านหนึ่ง ถึงพัฒนาการทางด้านศัพท์แสลง ที่เห็นใช้กันอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต และ เมื่อ สถานการณ์เปลี่ยนไป เวลาผ่านไป ทำให้ศัพท์แสลง ที่ได้ระบุคำจำกัดความนั้นไม่เป็นที่นิยมในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะดูเหมือนว่า ผู้เขียนได้ใช้ คำ ที่เป็นเสนียดปาก ของผู้พูดมาสื่อสาร ในรูปย่อ เพื่อจำกัดความ คำว่า กาก หรือ กากเดน, คำว่า เกรียน และ คำว่า เสี่ยว ให้รวมอยู่ในคำ คำเดียว คือ มาร์ค

ซึ่งท่านผู้อ่าน สามารถ ทำความเข้าใจ ได้จากบทความในเวปบล๊อคเก่าของผู้เขียน ซึ่งได้ทำสำเนามาให้อ่านอยู่ในบทความนี้

ผู้เขียนกำลังทำความเข้าใจว่า หาก นักการเมืองที่ผู้เขียนกล่าวถึง มีพฤติกรรมเช่นเดิมในระดับที่มากขึ้น จนพี่น้องประชาชน มั่นใจว่า นักการเมืองคนนั้น เลวได้ใจจริงๆ สุดๆจริงๆ อาจจะเริ่มนำ ศัพท์แสลงนั้นกลับมาใช้อีกครั้ง ผู้เขียนจำเป็นจะต้อง เน้นย้ำถึงบริบท และ พฤติกรรม ที่หนักหนาสาหัสขึ้น ของนักการเมืองคนนี้

พฤติกรรมเพิ่มเติม ของคำว่า ไอ้กาก หรือ กากเดน คือ

การที่นักการเมืองคนนั้น หมดทางเถียงแล้วว่า การยุบสภาไม่ใช่ทางออกของสังคมไทย (ตามทรรศนะ ของเขาเอง) จึงยินดี ที่จะยุบสภา แต่มีเงื่อนไขเวลา เพื่อให้ตนเอง ได้ผ่านงบประมาณ เพื่อเตรียมโกงเสียก่อน ยื้อเวลาเพื่อเตรียมโยกย้ายข้าราชการเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบในการเลือกตั้งเสียก่อน

พฤติกรรมเพิ่มเติมของคำว่า เกรียน หรือ ไอ้เกรียน คือ

การที่ไปเถียงกับคนอื่นออกทีวี ว่า สิ่งที่ตัวเองได้พูดในอดีตนั้น มันคนละเวลา คนละ สถานการณ์ กับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งทำให้คำพูดของตนเองในอดีต ไม่สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานให้ตัวเองได้ ทั้งๆที่ ประชาชนโดยทั่วไป เขาเห็นว่า นักการเมืองคนนี้ กลืนน้ำลายตัวเองผ่านสื่อ เช่น การที่ไปสอน ให้ นายก สมัคร ยุบสภา บอกว่า ประชาชนจะ หนึ่งคน หรือ แสนคน นายก ก็ต้องฟัง หรือจะเป็น อีกสถานการณ์หนึ่ง คือ ตอนเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน พูดเรื่องการทำ ประชามติ ว่า"ไม่ต้องทำประชามติ มีแต่จะทำให้ความขัดแย้งลุกลามออกไป ให้ยุบสภาคืนอำนาจประชาชนสถานเดียว เป็นกระบวนการอารยะ" นี่คือพฤติกรรมเกรียน

พฤติกรรม เสี่ยว หรือ ไอ้เสี่ยว คือ

ตัวเองโหวตให้เป็นมติพรรคไปแล้วว่าจะไม่แก้รัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียว แต่ตอนนี้อยากจะแก้รัฐธรรมนูญขึ้นมาทันทีทันใด (ใช้รัฐธรรมนูญ เป็นข้ออ้าง ซื้อเวลา) ไม่กลัวประชาชนเค้า งง เลยว่า ต่อมรัฐธรรมนูญ มาแตก อะไรเอาตอนนี้

นี่คือสามพฤติกรรมเดิมๆ แต่ถูกกระทำซ้ำต่างกรรมต่างวาระ หลายต่อหลายครั้ง จนประชาชนต้องตอกย้ำกันอีกครั้ง เพื่อให้ด่าง่าย สั้นๆ ได้ใจความ โดยไม่ต้องด่า ไอ้กาก ไอ้เกรียน ไอ้เสี่ยว ต่อๆกัน เพราะ มันยาว ด่า ว่า ไอ้มาร์ค คำเดียว ก็ครอบคลุม คำศัพท์แสลงทั้งสาม อยู่ในคำเดียว

ผู้เขียนคาดว่า ไอ้มาร์ค แทน ไอ้กาก ไอ้เกรียน ไอ้เสี่ยว ก็ คงจะดังยาก เหมือนเดิม เพราะ คนพูดอาจจะรู้สึกไม่เป็นมงคลกับปาก

ปล. อ่าน บทความเก่า เมื่อ ก.ค. ปี 52 เพื่อความเข้าใจเพิ่มเติม

โคตรจะมาร์ค เลยหว่ะ

โคตรจะมาร์ค เลยหว่ะ เป็นศัพท์แสลงของวัยรุ่นที่กำลังจะเป็นที่ นิยม ในสังคมไทย นีโอ ลองสำรวจกระแสวัยรุ่น ที่เคยใช้ ศัพท์นี้ ในพันทิป และ ยังคงใช้กันอยู่ ในเกมส์ออนไลน์ บางเกมส์ และจะเป็นที่นิยมแน่นอน หาก รัฐบาลชุดนี้ ยังคงประพฤติตน เช่นที่เป็นอยู่ จนชาวบ้านไม่พอใจ กระทบไปถึงวัยรุ่นในสังคมที่เริ่มตื่นตัวในเรื่องของการเมืองกันมากขึ้น

อยากจะเล่าที่มาของศัพท์ แสลง คำว่า “โคตรมาร์คเลยหว่ะ” หรือ “นายมาร์คมากๆ” หรือ “ไอ้มาร์คเอ๊ย”หรือ “แกมัน มาร์ค ได้ใจ เลยหว่ะ” ศัพท์แสลงเหล่านี้ มีที่มาจากวัยรุ่นหัวใส ที่ต้องการด่าว่า เพื่อนๆ ของตนเอง ว่า ไอ้กาก ไอ้เกรียน ไอ้เสี่ยว แต่ถ้าด่าทีละคำมันไม่สะใจวัยรุ่น พวกวัยรุ่นจึง นำนิยามของคำสามคำ บางส่วน มานิยาม เป็น คำศัพท์ แสลง แล้วใช้ คำว่า “มาร์ค” เป็นสัญลักษณ์ ของคำว่า กาก เกรียน เสี่ยว

นีโอ ลองสัมภาษณ์ นักรบไซเบอร์ ท่านนึง ที่ใช้ ฉายา ว่า รักสาวเสื้อแดง และได้คำอธิบายดังต่อไปนี้ นะครับ

จากศัพท์ คำว่า กาก ก็เอานิยามบางส่วนของ คำ คือ พฤติกรรม กากเดนสังคม เช่นทำอะไรที่เป็นโทษแก่ สังคม หรือ พฤติกรรมที่ขัดกับ หลักจริยะธรรมในสังคม หรือ ขัดกับธรรมชาติที่เป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่

เกรียน ก็เอานิยามบางส่วนของ คำ คือ พฤติกรรม ของคนไม่ใส่ใจในหลัก ทฤษฏีและเหตุผล พฤติกรรมการ แถ ข้างๆคูๆ ทั้งๆที่ฝ่ายตรงข้ามเค้ามีหลักฐานชัดเจน หรือ ทำอะไรโดยไม่ใส่ ใจ สักแต่ว่า ทำให้ตัวเองดูดีไว้ก่อน

เสี่ยว ก็เอานิยามบางส่วนของ คำ คือ พฤติกรรมที่ทำอะไรเชยๆ ชาวบ้านเค้าไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว ตัวเองเพิ่งจะมาเห่อ

แล้วที่ วัยรุ่น เค้ารวมตัวพร้อมใจกัน ใช้ คำว่า “มาร์ค” แทนคำว่า “กาก เกรียน เสี่ยว” นี่ก็เป็นเพราะ พฤติกรรมของ นักการเมืองคนนึง ที่เห็นแก่ตัว และ ไม่ยอมจะเสียให้ใคร ประกอบกับ พฤติกรรม ที่ปรากฏให้เห็นตามพื้นที่ สื่อ จึงทำให้ศัพท์เหล่านี้ รวมกันออกมาอย่าง ลงตัว

ตัวอย่างเช่นพฤติกรรม ของ กาก เช่น การไปร่วมมือ กับ คนเนรคุณ เพื่อประโยชน์ของพรรคพวก หรือ การเก็บ คนปากเสีย ผู้ต้องหาก่อการร้าย ไว้เป็นรัฐมนตรี หรือ การ สนับสนุน แต่งตั้ง คนปากระดับ เทพ(ไท) ไว้เป็นกระบอกเสียง คอย สร้างความขัดแย้งในสังคม

พฤติกรรม ของ เกรียน เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน แล้วไม่ยอมรับว่าตัวเองพลาด หรือ ให้สัมภาษณ์ ว่า ไข้หวัดใหญ่ 2009 ให้นอนอยู่บ้านเดี๋ยวก็หาย ทั้งๆที่มีคนตายกันเยอะ หรือ ไปอุ้ม คนที่โกหกผ่านทีวี ด้วยเหตุผลว่า อาจจะเกินมาตรฐาน กฏเหล็ก เก้า ข้อที่ตัวเองกำหนดไว้

พฤติกรรม ของ เสี่ยว เช่น ทำอะไรเชยๆ แบบ ขนคน 5,000 คน ไปคุ้มกันตัวเองที่ บุรีรัมย์ หรือ ที่ สวนกระแส ว่าภ้ายุบสภาฯ ตอนนี้แล้วคนจะเลือกตัวเอง เหมือนเดิม หรือ ที่ชอบเหมาเอาว่า เป็นนายก ของคนไทยทั้งประเทศ แต่ไม่มีใครยอมรับ

จากความหมาย ของ ศัพท์ และ พฤติกรรมของนักการเมืองที่เกิดขึ้นให้เห็น ผสมผสานกันอย่าง ลงตัวจนได้คำ ด่า เป็นศัพท์ แสลงใหม่ของสังคมไทยและมันก็เป็นอะไร ที่มีเหตุผล มากกว่า การตั้งชื่อ ตัวเงินตัวทอง ให้สื่อไปเล่นข่าว จนคนที่ ชื่อซ้ำกับ ตัวเงินตัวทอง ต้องเสียใจ ไม่รู้กี่คน

แต่ศัพท์ แสลง คำนี้ มันระบุ ชัดเจน ถึง คนๆนึง เป็นที่รู้กันในสังคม คนอื่นไม่เดือนร้อนแน่นอนต่อไปนี้

ใครด่า นีโอ ว่า “ไอ้มาร์คเอ๊ย” หรือ “โคตรมาร์คเลยหว่ะ” หรือ “นายมาร์คมากๆ” หรือ “แกมัน มาร์ค ได้ใจ เลยหว่ะ”

นีโอ จะรู้สึกไม่ดี ทันที .....

http://the-red-ally.blogspot.com/2009/07/blog-post_15.html

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ข้อเสนอเรื่องมาตรการกดดัน: ประชาชน ต้องยืนยัน เพิ่มแรงกดดัน ให้ ยุบสภา ในทันที



เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทั้งมาร์ค ชำนิ พอออกจากการเจรจาสร้างภาพ ว่ารัฐบาลยินดีรับฟัง แต่ดันยื่นข้อเสนอ ลากยาวออกไป 9 เดือน ด้วยเหตุผลสามประการที่ฟังไม่ขึ้น แถมยังลากไป เป้าหมายหลักของรัฐบาล ชัดเจนว่า ยืดเวลา ผัดผ่อน รักษาอำนาจให้นานที่สุด เทพเทือก ก็ รีบรับลูก อ้างพรรคร่วมรัฐบาลเห็นด้วยกับกรอบ ลากยาว 9 เดือน เป็น “คำขาด” ที่รัฐบาล เสนอต่อประชาชน

ประการแรก อ้างว่า ขอผ่านร่างงบประมาณ ปี 2554 ก่อน ผู้เขียนเห็นว่าไม่จำเป็น และ ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เกิดข้อครหา ว่า รัฐบาลตั้งใจลากยาว เพื่อ ผ่านงบประมาณ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล รวมไปถึง กรณีการทุจริต คอรัปชั่น ที่รัฐบาลชุดปัจจุบัน กู้มาโกง อย่างหน้าไม่อาย หากประชาชนยินยอม ให้ผ่านร่างงบประมาณก่อนแล้ว จึง ยุบสภา ก็ ไม่มีทางมั่นใจได้ว่า จะถูกโกงไปอีกเท่าไหร่

ประการที่สอง อ้างว่า ขอแก้รัฐธรรมนูญก่อน โดยที่ก่อนจะแก้ ต้องทำประชามติ แล้วจึงแก้ ผู้เขียนเห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้อย่างยิ่ง เพราะรัฐบาลภายใต้แกนนำปัจจุบัน เป็นพรรคการเมืองที่ได้ลงมติ คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกมาตรา และ การทำประชามติภายใต้ สถานการณ์ที่ ผู้มีอำนาจ ควบคุมสื่อกระแสหลักอย่างชัดเจนเช่นนี้ มีมติคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไปแล้ว โดยเฉพาะ นายอภิสิทธิ์ ก็ เป็น หนึ่งเสียง ที่ยกมือลงมติ ไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญ ทุกมาตรา จึงจะทำให้เข้าทาง ผู้ที่ไม่อยากแก้ สร้างข้อถกเถียงให้ มีการยืดเวลา การลงมติ การเสนอมติสู่สภา ทั้งสามวาระ อาจจะยาวไปอีกหลายปี

ประการที่สาม อ้างว่า ขอสร้างบรรยากาศที่ดี ก่อนที่จะยุบสภา ผู้เขียนเห็นว่า ยิ่งยืดเวลาออกไปยิ่งสร้างความขัดแย้งมากขึ้นในสังคม สร้างแผลร้าวลึกให้ใกล้จุดแตกหักมากขึ้น ให้ความขัดแย้งขยายตัวมากขึ้น

นายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาล และ อ้างว่า เป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ มาเจรจา กับ นปช. แดงทั้งแผ่นดินนั้น ตั้งใจเพียงที่จะสร้างภาพ สร้างกระแส ลดแรงกดดันจากผู้ชุมนุมเท่านั้น ไม่ได้แสดงออกถึงความจริงใจ แต่ประการใด เพราะข้ออ้างขอเวลา 9 เดือนนั้น ฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น

ประชาชนจะต้องกดดันให้หนักขึ้น ชี้แจงสังคมให้ชัดเจน ว่าทำไมถึงรอ 9 เดือนไม่ได้

1. อำมาตย์ต้องการหวากหมาก โยกย้าย นายทัพ นายเรือ นายพล ตำรวจ ให้เสร็จสิ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของตน
2. รัฐบาลต้องการรักษาอำนาจ โยกย้ายข้าราชการพลเรือน ข้าราชการมหาดไทย เพื่อให้พร้อมที่จะลงสู่สนามการเลือกตั้งอีกครั้งแบบ มีตัวช่วย
3. นักการเมืองต้องการ ผ่านงบประมาณ ผ่านเงินกู้ เพื่อนำไปลงโครงการต่างๆ ตามหลัก กู้มาโกง และ เอื้ออำนวยการทุจริตคอรัปชั่น และ เก็บทุนเตรียมเข้าสู่การลงสนาม
4. อำมาตย์ ทหาร และ นักการเมือง ต้องการผ่านงบประมาณ จัดซื้ออาวุธ จ่ายเบี้ยเลี้ยง เพิ่มงบลับ กินค่านายหน้าต่างๆ
5. อำมาตย์ นักการเมือง และ พันธมิตร กลัวถูกดำเนินคดี หากฝ่ายตนไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาล การลากการยุบสภาออกไปให้ยาวนานที่สุด จะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดี
6. ความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ ในปัจจุบัน จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น รอยแผลร้าวจะหนักหนาสาหัสมากขึ้น จนอาจจะถึงขั้นที่ไม่มีหนทางแก้ไข
7. ระบบเศรษฐกิจ ที่ถูกกระทบในระยะสั้น อาจจะได้รับผลกระทบในระยะกลางไปถึงระยะยาวมากขึ้น เนื่องจากการคงอยู่ของ พรบ. มั่นคง
8. รัฐบาลอาจจะปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ จนนำไปสู่ภาวะสุญญากาศทางการปกครอง อาจจะเริ่มมีการนัดหยุดงาน เป็นต้น

พี่น้องประชาชน ยังต้องยืนยัน ร่วมกดดัน ให้ อภิสิทธิ์ ยุบสภาในทันที

จากนั้นเราต้องเพิ่มแรงกดดัน เดินหน้า ทวงถามความชอบธรรมระหว่างที่ รอ รัฐบาลตัดสินใจว่าจะยอมรับ หรือ ไม่ยอมรับ เงื่อนเวลา ยุบสภา ภายใน 15 วัน เราต้องมีกิจกรรมให้ พี่น้องผู้ชุมนุม ทั้งล้านคนผลัดกันทำ

1. ไป กกต. ไป นปช. ทวงถามความคืบหน้าคดียุบพรรค ปชป.
2. ไปกรมตำรวจ ไปทวงถามคดี หมิ่นเบื้องสูงโดยแป๊ะลิ๊ม คดีปิดสนามบิน คดียึดทำเนียบ
3. แฉพฤติกรรมการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลในรายละเอียด ไม่จำเป็นจะต้องใช้ สส. หรือ จะใช้ สส. ก็ได้
4. ไปขอเข้าพบ ผบ.ทบ. เพื่อสอบถามว่าทำไม ตอนนั้น ออกทีวี บอกให้อดีตนายก ลาออก
5. ไปขอเข้าพบ 40 ส.ว. สอบถามว่า ต่อม จริยะธรรม ที่ตื้นตันแตกง่าย สมัยอดีตนายก สมัคร-สมชาย เดี๋ยวนี้ กลายเป็นด้านไปแล้วหรือ
6. ไปขอเข้าพบ รมต. ต่างประเทศ ว่า ได้ดำเนินเรื่องทวงคืน เขาพระวิหารไปถึงไหนแล้ว
7. ไปขอเข้าพบ รมต. ไอซีที แล้วเดินสาย ขอเข้าพบเจ้าของกิจการ และ ผู้บริหาร สื่อกระแสหลัก ต่างๆ เพื่อเจรจาขอความเป็นธรรม และ ขอความร่วมมือ
8. อื่นๆ เน้นการขอเข้าพบเพื่อเจรจา ขอความร่วมมือ เป็นหลัก

เชื่อว่า การเดินสายเจรจาตามแนวทางสันติวิธี ข้างต้นนั้น จะเป็นการกดดันรัฐบาลให้ต้องเร่งตัดสินใจมากขึ้นว่าจะโอนอ่อนผ่อนตาม ข้อเรียกร้อง ตามหลักประชาธิปไตย ของ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน

อันทะมิด สะถุน ออกโลง ค้าน - การเจรจาส่อล่ม


สุใสไม่เคยปราณีใคร แม้แต่พวกเดียวกัน สมศักดิ์ ออกมาให้ข่าวว่าจะไม่ก้าวล่วงการตัดสินใจยุบสภาของรัฐบาล ผ่านไปไม่ถึง ชั่วโมง สุใส ออกแถลงการณ์ อันทะมิด สะถุน เหลืองเหมือนขี้ ก็ประกาศคัดค้านการเจรจา สมกับเป็นไอ้พวก หัวรุนแรงจริงๆ อยากจะรู้นักว่ามันจะจัดชุมนุมใหญ่ได้กี่ร้อยคน เหอๆ

สุใส มันไม่ฟังกระแสสังคม ขอแค่ให้ได้เป็นข่าว มันทำตัวของมันเอง ใครก็ช่วยไม่ได้แล้วคราวนี้ สุใสอ้างแกนนำ รุ่น 1 รุ่น 2 ที่บ้านพระอาทิตย์ ออกแถลงการณ์แต่ เอ๊ะ ไอ้หัวหน้าขบวนการโกเต๊ก ของมันหายไปไหน หรือว่า วันนี้ ลิ๊มโกเต๊ก อยู่บ้าน

กับพวกอันทะมิด แล้ว รัฐบาลคงต้องให้น้ำหนักกันมากหน่อย เพราะ ลักษณะการทำงานของอันทะมิดที่ผ่านมานั้น รวดเร็ว รุนแรง แซงโค้ง การชุมนุมก็ เป็นไสตล์ สันติ ตะโกนด่าพ่อ ล่อแม่ ปราศจากอาวุธ ยกเว้นอุปกรณ์กีฬา ประเภท ไม่กอล์ฟ ไม้เบสบอล หนังสติ๊ก หัวน๊อต ลูกปิงปองระเบิดได้ เป็นต้น

ในเมื่อ อันทะมิด ประกาศยืนยันจะเคลื่อนไหว บนผลประโยชน์ส่วนรวม (ของพวกมันกันเอง) ก็คงหนีไม่พ้น ยึดสถานที่ราชการ ยึดสนามบิน ยึดสถานีโทรทัศน์ เพื่อที่จะได้ช่วยให้รัฐบาลได้ ใช้งบประมาณคงค้างให้หมด

อันทะมิด มี พฤติกรรมที่ชี้ให้เห็นได้ชัดว่า เคลื่อนไหวเป็นเนื้อเดียวกันกับ พรรคแมงสาป และ ท๊อปบูต อำมาตย์

มาร์ค คงจะเห็นว่า เนวิน อยู่ในช่วงไร้สมรรถภาพหรืออย่างไร เพราะความพยายามในการสร้างสถานการณ์ความรุนแรง นั้นถูก นปช. แดงทั้งแผ่นดินสกัดได้เป็นส่วนใหญ่

การออกมาเห่า รอบนี้ หนีไม่พ้น ข้อครหา

อันทะมิดช่วยยันก้นอภิสิทธิ์ ผู้ที่ยินดีที่จะไม่ดำเนินคดี แก่ตัวและพวกพ้อง

คราวนี้แหละ ขาวเนียน จะได้ชัดเจนสักที

ผู้เขียนขอเรียกร้องให้ อันทะมิด ผู้คัดค้านการเจรจาตามหลักสันติวิธี ออกมาแสดงพลังหน่อย ครับ

คาดว่าจะมีสมาชิก อันทะมิด และ สมาชิก พรรคกินเมืองใหม่ ออกมาร่วมชุมนุม ล้านนึง เช่น ล้านหัวสมศักดิ์ เป็นต้น


อ้างอิง
พันธมิตรฯออกแถลงการณ์ค้านรบ.เจรจา "เสื้อแดง" สร้างความชอบธรรม "แม้ว" ชี้ยุบสภาไม่ใช่ทางออกปท.
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269850924&grpid=00&catid=

ยุบสภาในทันที ไม่มีข้ออ้างแล้ว




เมื่อไอ้ สมศักดิ์ โกศัยสุข รองหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่และแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาให้ข่าวว่า จะไม่ขัดข้องหากมีการยุบสภาในทันที หลังจากการเจรจาระหว่าง รัฐบาลอำมาตย์ และ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน

ดังนั้นอภิสิทธิ์จึงหมดข้ออ้างและไม่ต้องห่วงแล้วว่า ฝ่ายเหลืองเป็นขี้อย่างอันทะมิด จะออกมาก่อกวนหลังจากมีการยุบสภา พร้อมกันนั้น อันทะมิดยังประกาศตัวแล้วว่าพร้อมที่จะลงแข่งขันในศึกการเลือกตั้ง เพราะมั่นใจว่าหาก เลือกตั้งแล้ว พรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งก็คงจะโดนยุบพรรคอีกครั้ง

มาร์คจึงไร้ข้ออ้างโดยสิ้นเชิง อ้างไม่ได้แล้วว่า หลังการเลือกตั้ง เหลืองจะออกมาก่อกวน

ในขณะที่ความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการ และ ปัญญาชน 250 คน ร่วมลงชื่อ เสนอให้รัฐบาลตัดสินใจยุบสภา เป็นทางออกของประเทศชาติ

จากการเจรจาเมื่อวาน มาร์ค อ้างว่าไม่สามารถ สร้างความมั่นใจได้ว่า หากยุบสภาแล้ว ปัญหาต่างๆจะไม่วนกลับเข้ามาที่จุดเดิม มาร์คเกรงว่า เมื่อยุบสภาแล้ว คนเสื้อเหลืองจะออกมาต่อต้าน จะออกมาประท้วงอีก นาทีนี้ เหลืองเหมือนขี้ ก็ ออกมายืนยันแล้วว่าจะไม่ออกมาก่อกวน และ จะไม่ก้าวล่วงการตัดสินใจยุบสภา และพร้อมแข่งกับ ปชป. ด้วยซ้ำ ดังนั้น เงื่อนไข ที่รัฐบาลอำมาตย์ อภิสิทธิ์ชน กังวล เป็นอันหมดไป

ในส่วนของนายบรรหาร หรือ บิ๊กเติ้ง เองก็มีแนวคิดเช่นเดียวกันว่า รัฐบาลควรชัดเจนในเรื่อง กรอบเวลาแก้รัฐธรรมนูญ และ ยุบสภา คือ เห็นร่วมกันว่า ยุบสภา คือ ทางออก

ในขณะที่แกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดินนั้น ก็ เสนอให้มีการลงสัตยาบัน กันทุกฝ่าย ทั้ง กลุ่มสีเหลือง จากพรรคการเมืองใหม่ และ พรรคประชาธิปัตย์ รวมถึง กลุ่มเสื้อแดงจากพรรคเพื่อไทย กลุ่มเสื้อน้ำเงินจาก กลุ่มเนวิน หรือ แม้แต่ ผบ. ทบ เสื้อเขียว หรือ จะเอาเสื้อขาวด้วยก็ได้

ดังนั้นข้อเรียกร้อง ให้ยุบสภา ภายใน 15 วัน จึงสามารถปฏิบัติได้ ตามแนวทางนี้ และ

นายกรัฐมนตรี ไม่มีข้ออ้างใดๆอีกต่อไป



พธม. ชี้เจรจารบ.-แดงเหลว ไม่ขอก้าวล่วง-ไม่คัดค้านตัดสินใจยุบสภา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269845048&grpid=03&catid=

"จตุพร"เสนอกลุ่มการเมืองลงสัตยาบันยุบสภายอมรับผลการเลือกตั้ง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269843614&grpid=03&catid=

250 นักวิชาการ-ประชาชนลงชื่อจม.เปิดผนึกจี้นายกฯ ยุบสภาใน 3 เดือน
http://www.prachatai.com/journal/2010/03/28554

"บรรหาร"เสนอรัฐแก้รธน.ยุบสภาสิ้นปี รับแม้วโทรหา
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=440253&lang=T&cat=

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

อยากได้ ประชาธิปไตยใสใส อภิสิทธิ์ต้องยุบสภา ทันที


ที่สุดของการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตย คือการต่อสู้ด้านความเชื่อ คือการที่สิทธิของบุคคลได้ถูกใช้ตาใจปารถนา ภายใต้กรอบกติกาที่เป็นที่ยอมรับโดยคนส่วนใหญ่ของสังคม ซึ่งอาจจะแตกต่างสักเล็กน้อยกับการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริงที่คนเสื้อแดงกำลังต่อสู้อยู่ในขณะนี้

การเจรจา เป็นอีกหนึ่งมาตรการ ที่ตรงประเด็นที่สุด ลักษณะของการเจรจานั้นมีหลายรูปแบบ แต่ลักษณะที่เกิดขึ้นระหว่างแกนนำ นปช. และ นายอภิสิทธิ์นั้น เป็นลักษณะที่ นปช. ต้องยื่นคำขาด ในขณะที่ อภิสิทธิ์ ผู้ถืออำนาจรัฐจะต้องพยายามรักษาอำนาจให้ได้นานที่สุด

สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง นปช. แดงทั้งแผ่นดิน และ รัฐบาล มีหลายประเด็น

นายอภิสิทธิ์เชื่อว่า ราก หรือ เหตุแห่งปัญหา เกิดจากรัฐบาลทักษิณ ในขณะที่ นปช. แดงทั้งแผ่นดินเห็นว่า เหตุแห่งปัญหาเกิดจาก การ ยึดอำนาจ รัฐประหาร ผู้เขียนให้น้ำหนักไปทาง นปช. มากกว่า เนื่องมาจากปัญหาในปัจจุบันนั้น เป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนที่ ต่อต้านการบังคับใช้กฎหมายของคณะรัฐประหาร และรัฐบาลที่ยังยินดีที่จะบังคับใช้กฎหมายของคณะรัฐประหาร

นายอภิสิทธิ์เชื่อว่า การยุบสภาทันที ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม เพราะอาจจะเป็นเหตุให้ เกิดปัญหาซ้ำรอย ขึ้นมาอีก ส่วน นปช. แดงทั้งแผ่นดิน เชื่อว่า การยุบสภาในทันทีนั้น เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม เพราะจะช่วยให้ความอึดอัดเฉพาะหน้าของสังคมไทย ลดลงทันที และ ต่างคนก็ต่างหันหน้าเข้าแข่งขันกันตามระบอบประชาธิปไตย พร้อมกับรับประกันว่า นปช. แดงทั้งแผ่นดิน จะไม่ทำการเคลื่อนไหวใดๆอีก ผู้เขียน ให้น้ำหนักไปทาง นปช. มากกว่า เนื่องจากการยุบสภานั้น เป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจให้แก่พี่น้องประชาชน หากว่า พี่น้องประชาชนเห็นด้วยกับรัฐบาล แล้ว เลือก นายอภิสิทธิ์กลับมาอีกครั้ง ก็จะทำให้ นปช. หมดความชอบธรรมในการชุมนุมขับไล่ รัฐบาล และ ความอึดอัดในสังคมไทยก็จะหายไปในทันที

นายอภิสิทธิ์ และ นปช. เห็นตรงกันว่า ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ หรือ ประชาธิปไตย แบบใสใส ในทำนองที่เปรียบเทียบถึงประชาธิปไตยบริสุทธิ์ ตามที่นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวไว้ระหว่างการเจรจา แต่นายอภิสิทธิ์เห็นว่า ทุกฝ่ายของสังคมควรร่วมมือกันหาทางออก ไม่ว่าจะเป็น การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย หรือ การทำความเข้าใจระหว่างทุกฝ่าย ก่อนที่จะทำการยุบสภา ในขณะที่ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน เห็นว่า ในช่วงที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี และ ก่อนหน้านั้น นปช. ได้มีความพยายามแก้รัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าชื่อของประชาชน สองแสนชื่อ โดยนายแพทย์เหวง หรือแม้แต่ คณะกรรมการสมานฉันท์ ที่รัฐบาลจัดตั้ง แต่ไม่สามารถนำพาประเทศชาติไปสู่การเริ่มต้นแก้ไขกติกาที่เป็นที่ยอมรับอย่างแท้จริงได้ โดยเฉพาะ ร่าง ของ นายแพทย์เหวง นั้น ค้างเป็นวาระเร่งด่วนอันดับหนึ่งมานานกว่าปี แล้ว ดังนั้นในประเด็นนี้ ผู้เขียนให้น้ำหนักไปทาง นปช. มากกว่า เพราะหากรัฐบาลจริงใจต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้น รัฐบาลคงผลักดันให้เกิดการพิจารณาไปนานแล้ว จึงเชื่อได้ว่า นายอภิสิทธิ์ และ รัฐบาล ไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ทาง นปช. นั้นชัดเจนว่า ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการยุบสภาทันที จึงจะช่วยให้ตัดสินใจได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการที่จะแก้รัฐธรรมนูญ หรือไม่

สรุปว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่ต้องการยุบสภา เร็วๆนี้ ในขณะที่ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน นั้น ต้องการให้มีการยุบสภาให้เร็วที่สุด

ผู้เขียนเห็นว่า รัฐบาลสมควรที่จะยุบสภา ภายใน สิบห้าวัน ตามที่ กลุ่ม นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ได้ยื่นข้อเสนอ เนื่องจากจะสร้างประโยชน์ของประเทศชาติ และ สังคมไทย ในหลายด้านด้วยกัน

หากนายอภิสิทธิ์ ประกาศยุบสภาแล้ว เห็นได้ว่า นปช. จะหมดความชอบธรรมในการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาทันที และ พี่น้องประชาชนจะได้กลับสู่ภูมิลำเนา หรือ ชีวิตปกติสุข เพื่อเตรียมตัวใช้สิทธิในการตัดสินทิศทางของประเทศชาติและสังคมไทยต่อไป นี่ก็คือ ประโยชน์ที่ได้เฉพาะหน้า

หากนายอภิสิทธิ์ ไม่ยอมยุบสภาในทันที แล้วเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ระหว่างผู้ที่ไม่ต้องการให้แก้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ พรรคการเมืองที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ ปัจจุบัน และ พันธมิตรเหลือง ฝ่ายหนึ่ง กับ นปช. อีกฝ่ายหนึ่ง ต่อไป เพราะทั้งสองฝ่ายอ้างว่ามีผู้สนับสนุนเป็นจำนวนไม่น้อย ดังนั้น ความขัดแย้งในสังคมจะยังคงดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด

หากนายอภิสิทธิ์ ประกาศยุบสภา ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ ทั้งฝ่ายที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ ที่ไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ได้พิสูจน์ตามหลักประชาธิปไตยว่า คนส่วนใหญ่ต้องการแก้ หรือ ไม่แก้ นั่นเป็นประโยชน์ระยะกลาง

หากนายอภิสิทธิ์ ประกาศยุบสภาแล้ว ก็จะได้ประโยชน์ชั้นที่สองคือ ประชาชนที่เห็นว่า นายอภิสิทธิ์ และ รัฐบาลได้แก้ปัญหาอื่นๆ มาถูกทางแล้ว ก็จะได้โอกาสแสดงความสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ต่อไป

ผู้เขียนคาดการณ์ว่า คำตอบที่จะได้จากนายอภิสิทธิ์ และ พวกพ้องคือ จะไม่ยุบสภาภายใน สิบห้า วัน แน่นอน แต่จะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ยืดเวลาการยุบสภา ออกไปให้นานที่สุด ประเด็นที่ผู้เขียนอยากจะชี้ให้เห็นก็คือ การยุบสภา เป็นทางออกที่ดีที่สุด

หากประเทศชาติ และ ประชาชน ต้องการประชาธิปไตยแบบใสใส จริงๆ

นายอภิสิทธิ์ต้องประกาศยุบสภา ทันที

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

ระเบิดรายวัน ความฝันอภิสิทธิ์ สู่เมืองขึ้นจักรวรรดินิยมอังกฤษ


สิ่งที่เราเห็นกัน ได้ยินกัน ในขณะนี้ คือเรื่องระเบิดรายวันในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร สืบเนื่องมาจากการวิเคราะห์กันอย่างต่อเนื่อง ชัยชนะเดียวของรัฐบาลคือการ ประกาศ พรก. ฉุกเฉิน ให้ได้ เพื่อที่จะได้ ปราบปราม ควบคุม ล้อมกรอบผู้ชุมนุม

ทุกคนสงสัยแบบเดียวกัน ว่า ทหารตั้ง 75,000 คน เบิกเบี้ยเลี้ยงวันละ 60 ล้านบาท และรัฐบาลกำลังระดมพลเพิ่มให้ครบ หนึ่งแสนนายนั้น ทำไมยังไม่สามารถป้องกันเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นใน กทม. ได้ซักที ฝ่ายข่วกรองของรัฐ และ กอ.รมน. มุ่งหาข่าวผู้ชุมนุมเป็นหลัก โดยไม่ได้มีการเตรียมฝ่ายข่าวกรองป้องกันผู้ก่อเหตุร้าย หรืออย่างไร

ทำไม ทำไม ทำไม ถามสามครั้งแล้วรัฐบาลก็ตอบไม่ได้ ตรรกะที่น่าเชื่อถือ ณ เวลาปัจจุบัน คงเหลืออยู่ตรรกะเดียว ที่ฟังดู พินิจพิเคราะห์ แล้วมีเหตุผลที่สุด ซึ่งตรรกะนั้นคือ

“ทหาร 75,000 นาย เป็นตัวชี้เป้า ให้ตัวแทนของรัฐบาลอำมาตย์ สร้างเรื่องระเบิดรายวัน กลบข่าวผู้ชุมนุม และเปิดแนวทางนำไปสู่การประกาศ พรก. ฉุกเฉิน ถึงแม้นว่า คนเสื้อแดงจะไม่ก่อความรุนแรง รัฐ ก็ สามารถอ้างเหตุระเบิดรายวัน เพื่อ ประกาศ พรก. ฉุกเฉินได้”

ตรรกะอื่นๆมันฟังดูแล้วมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะก่อให้เกิดเหตุระเบิดรายวันทำนองนี้ วันนี้ คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากเหตุระเบิดรายวันคือรัฐบาลหุ่นเชิด อภิสิทธิชน นั่นเอง ฟังดูแล้วหนักแน่นที่สุด

คนเสื้อแดงเสียประโยชน์อย่างยิ่งจากเหตุระเบิด ไม่ว่าจะเป็นการลดพื้นที่ข่าวบนสื่อต่างๆของตนเอง เป็นการขู่ให้ผู้ชุมนุมไม่กล้าเข้าร่วมชุมนุมเพราะความกลัว และ ท้ายที่สุด อภิสิทธิ หรือ เทพเทือก ก็ ไม่ได้โดนระเบิดตาย ดังนั้น คนเสื้อแดง นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์จากเหตุระเบิดแล้วยัง เสียประโยชน์อย่างมหาศาล ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น

ในขณะที่พฤติกรรมของรัฐบาลที่ผ่านมานั้นชัดเจนว่า เพิ่มงบทหารสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จัดงบลับมากที่สุด ซื้ออาวุธสงครามมากที่สุด ระดมทหารเข้า กทม. มากที่สุด ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องเล็กๆเช่น โยกย้ายทหาร หรือ แม้แต่ จ้างนางแบบนิตยสารปลุกใจเสือป่า ไปกระตุ้นทหารให้เกิดความกระชุ่มกระชวย


ความฝันสมัยเด็กของอภิสิทธิ์ ฝันอยากเป็น นายกรัฐมนตรี ความอยากในสมัยเด็กนั้นเป็นเรื่องไร้เดียงสา ซึ่งตอนเป็นเด็กนั้น คงยังไม่มีความเข้าใจว่า การเป็นนายกนั้นเป็นได้จากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนายกที่ประชาชนเลือกเข้ามา หรือ เป็นนายกที่ยึดเขามา หรือ แย่งเขามา พอเริ่มโต อภิสิทธิ์ ก็ ได้ถูกส่งไปเรียน ที่อังกฤษ โดยได้ซึมซับความเป็นคนอังกฤษเต็มตัว ความเป็นผู้ดีอังกฤษหน้าไหว้หลังหลอกที่เขา ภูมิใจชูคออยู่ทุกวันนี้

ความรุ่งเรืองของจักรวรรดิอังกฤษ หรือ อำนาจเหนืออาณานิคมของสหราชอาณาจักรอังกฤษนั้น ได้ซึมซับอยู่ในสายเลือดของนายอภิสิทธิ์มาตั้งแต่รุ่น ปู่ รุ่นพ่อ จนถึงรุ่นตนเอง

ในสมัยราชการที่ 6 นั้น อังกฤษ ได้ อาณานิคมเป็น พม่า และ มาลายา ในปี พ.ศ. 2456 ซึ่งก่อนหน้านั้น ได้ สิงคโปร์ ไปแล้ว ปู่ของคุณ อภิสิทธิ์ ได้รับพระราชทานนามสกุล ในปี พ.ศ. 2462 และ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระบำราศนราดูร และต่อมา ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 2 สมัย ในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์และจอมพลถนอม กิตติขจร


ในสมัยของคุณ ปู่นั้น อังกฤษมีอิทธิพล และผลประโยชน์สูง ดังนั้นพ่อของ อภิสิทธิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายกราชบัณฑิตยสถาน และ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล
ได้ถูกส่งไปเรียน ที่อังกฤษ ตั้งแต่เด็ก

และในที่สุด อภิสิทธิ์เองก็ถูกส่งไปเกิดที่อังกฤษ

ความภูมิใจในชนชาติอังกฤษ และ ความรุ่งโรจน์ ของจักรวรรดิอังกฤษนั้น ได้ชื่อว่าเป็นจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่มีวันตก บนโลกใบนี้ ประกอบกับ คนไทยตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 กลุ่มหนึ่ง ได้มีความเชื่อสืบทอดกันมาว่า ประเทศสยาม หรือ ประเทศไทยควรจะเป็นเมืองขึ้น หรือ เป็นเมืองอาณานิคม ภายใต้การดูแล ของจักรวรรดิอังกฤษ เพื่อที่จะได้นำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ซึ่งความเชื่อเช่นนั้นยังคงตกทอดมาถึงปัจจุบัน ดังเช่นที่เราได้ยิน กันบ่อยๆว่า เมืองไทยน่าจะได้เป็นอาณานิคม จะได้พัฒนา เหมือน ฮ่องกง เหมือน สิงคโปร์ เป็นต้น

ความภูมิใจในความเป็นอังกฤษตรางู ของอภิสิทธิ์นั้นสูงส่ง เห็นได้จากพฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมกัน ส่วนใหญ่จบจากอังกฤษ

จึงเป็นที่น่ากลัวเกรงของประชาชนในสมัยนี้ เพราะการล่าอาณานิคมนั้นได้เปลี่ยนรูปแบบ อาศัยกระแสโลกาภิวัฒน์ ในการล่าอาณานิคม จากสงคราม สู้รบ มาเป็นการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ

พฤติกรรมการกู้เงินมาบริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง เป็นจำนวนมหาศาล อาจจะเป็นการเปิดทางเข้าสู่ระบบจักรวรรดินิยมใหม่


เพราะถ้ากู้ถึงจุดที่ไม่สามารถจะกู้ IMF หรือ ญี่ปุ่น ต่อไปได้ ทางออกเดียวคือการกู้เจ้าหนี้รายใหม่เพื่อใช้เจ้าหนี้รายเก่า และ จากสถานการณ์ ความสนิทสนม และ ลักษณะการบริหารระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลอภิสิทธิชน ภายใต้ขบวนการอำมาตย์ผู้กดขี่นั้น ทำให้เข้าใจได้ว่า

ท่านผู้นำอาจจะมีความฝักใฝ่ ที่จะนำไทยไปสู่สภาวะเมืองขึ้น อาณานิคมยุคใหม่ ทุนนิยมชนชั้นผู้ดี

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประเทศไทย มีแมงสาป ที่ “อาย” ยาก ที่สุดในโลก


แน่นอนครับ หัวข้อที่เขียนนั้น ผู้เขียนจงใจประชดประชัน รัฐบาล และ สื่อกระแสหลักที่ถูกควบคุมภายใต้ ระบอบอำมาตยา อภิสิทธิชน ผ่านรัฐบาลหุ่นเชิด นำโดย นายกมาร์ค เทพเทือก และ เตี้ยหนองเตย ซึ่งควบคุม ใช้ประโยชน์จากสื่ออย่างเข็มข้น โดยไม่ใส่ใจความเป็นกลางและมาตรฐานสากล

เรื่องล่าสุดคือ การสั่งทหารเข้ายึดรัฐสภา โดยอ้างว่า เอามาคุ้มครอง สส. และ รมต. แต่กลับมีการปิดถนนด้วยสิ่งกีดขวางอย่างกับจะทำสงครามกับประชาชน

หนำซ้ำยังสองมาตรฐานไม่ให้ สส. ฝ่ายค้านได้เดินทางเข้าสู่รัฐสภา อย่างสง่างามสมเกียรติ ในขณะที่พรรคแมงสาปเองนั้น ไม่สนใจเรื่องความสง่างาม ความมีเกียรติของการเป็น สมาชิกสภาผู้แทน อยู่แล้ว มาร์คก็เคยให้ลูกพรรคนำพวกเสื้อเหลืองไปล้อมรัฐสภา ตะโกนฆ่ามัน ฆ่ามัน ในขณะที่ตนเองเดินเข้ารัฐสภา ถ้าพรรคแมงสาปใส่ใจเรื่องความสง่างาม คงไม่ไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และ ก็คงไม่ไปเล่นตลก แถลงการณ์ในกระทรวงต่างประเทศแทนที่จะเป็นรัฐสภา

สส. พรรคแมงสาปปากกล้า ยังมีหน้ามาด่าคนอื่นให้ได้อายขายขี้หน้าตัวเองอีก นอนหลับคืนนึง ตื่นมาก็ลืมแล้วหรือว่า นายชัย ชิดชอบ เรียกประชุมสภา วันจันทร์ ใครบ้างที่ไม่เข้า ก็พรรคแมงสาป และ พรรคร่วมรัฐบาลนั่นแหละที่ไม่เข้าประชุม แล้ววันอังคาร นายชัยก็เรียกประชุมอีก พรรคแมงสาปเข้าประชุมกี่ตัว

แต่หลังจากที่เอาแท่นคอนกรีต มากั้น เอารั้วลวดหนามมาขวาง เอารถขนขยะมาเกย แล้ว แมงสาปที่ชอบความสกปรก ก็วิ่งเข้าไปในสภาทุกตัว

แต่โชคดีที่พรรคแมงสาปคุมสื่อได้ คนที่ขาดประชุมหนึ่งวัน จึงต้องถูกประณาม ในขณะที่คนขาดประชุมสองวันกลายเป็นแมงสาปเทวดาไปซะ

ความละอาย ความมีสำนึก ได้หมดไปแล้วจากผู้แทนราษฎร สังกัด พรรคแมงสาปที่มีอายุมายาวนานกว่า 60 ปี

เร็วๆนี้ประเทศไทย จะได้มีโอกาส จัดประชุมรัฐสภาโลก แต่ภาพที่ออกไปทั่วโลกเวลานี้ คือ รั้วลวดหนาม ทหารกว่าสองพันห้าร้อยคน แนวกั้นคอนกรีต รถขนขยะ รถน้ำ รถจีเอ็มซี โล่กระบองหมวกกันน็อค

ผู้เข้าร่วมประชุมรัฐสภาโลกที่ได้เห็นภาพเหล่านี้ คงแปลกใจพิลึก คงจะดีใจที่รัฐบาลไทยแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยในความปลอดภัย ของสมาชิกสภาโลกที่จะเข้าร่วมประชุมในอีกสองสามวันนี้

สิ่งที่ไม่อยากจะพูดแต่ต้องพูด เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ก็ ต้องเขียน คือ ค่าใช้จ่ายวันละ 60 ล้านบาท จ้างทหาร 75,000 คน มายืนเฝ้าเสาไฟฟ้ากลางกรุงเทพฯ เฝ้าวัด เฝ้าถนน นั้น มันบ่งบอกถึงความ ไร้หัวคิดของผู้นำเป็นที่สุด

เอาเงินวันละ 60 ล้านบาทไปทยอยซื้อข้าวจากชาวนายังจะช่วยลดแรงกดดันได้ดีกว่านี้ เอาทหารมาเฝ้ากรุงเทพวันละ 60 ล้าน แต่มีระเบิดทุกวัน เอาทหาร 75,000 คน มาทำอะไร ใช้เงินภาษีแบบนี้

อายชาวบ้านชาวช่องเค้าเป็นบ้างมั๊ยครับ ,…… อย่าเข้ามานะ ,........ ยี๊ แมงสาปปป

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

อภิสิทธิ์ หากไม่ได้ทำผิดคิดชั่ว ทำไมจะต้องกลัวขนาดนี้

อภิสิทธิ์ไม่รู้จะสู้กับความจริงได้อย่างไร จนในที่สุดต้องพยายามเน้นย้ำออกสื่อ อยู่ตลอดเวลาว่ารัฐบาลกำลังสู้อยู่กับทักษิณ ไม่ได้สู้อยู่กับ ความเดือดร้อน หรือ ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนที่มีผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน อภิสิทธิ์แสดงออกผ่านสื่อต่างๆมากมาย เป็นสัญญาณในทำนองที่มองข้าม ความเดือดร้อนทั้งหมดทั้งปวงของพี่น้องประชาชน และมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะสร้างภาพว่าตนทำงานต่อไปได้โดยไม่อายใคร ถึงแม้ว่าจะต้องใช้กำลังทหารมากมาย ในการห้อมล้อมตัวเอง

ท่านผู้อ่านจำได้หรือไม่ว่า เมื่อยามที่ อภิสิทธิ์เป็นฝ่ายค้าน ก็พยายามบีบให้ คุณ สมัคร ยุบสภา ให้ลูกพรรค ปชป. ไปร่วมม็อบเหลือง ล้อมสภาตะโกน ฆ่ามัน ฆ่ามัน บริเวณรอบสภา คือ อภิสิทธิ์ ไม่เชื่อในระบบรัฐสภา เพราะ ในขณะนี้ตนเองเป็นรัฐบาล แต่ก็ยังสั่งทหารให้มาล้อมสภา วางสิ่งกีดขวางมากมาย ไม่ให้ผู้แทนของพี่น้องปวงชนชาวไทยได้เข้าไปทำหน้าที่ และ สร้างภาวะกดดันในเชิงข่มขู่ให้ ผู้แทนฝ่ายค้านกลัว จนอาจไม่กล้าที่จะเข้าร่วมประชุมสภา ข่มขู่กันด้วยกำลังทหาร ยานรบหุ้มเกราะ


หากท่านผู้อ่านย้อนนึกดูดีๆ ก็จะทราบว่า นายอภิสิทธิ์นั้นไม่เคยแสดงความใส่ใจต่อความต้องการของพี่น้องประชาชน อ้างตลอดมาว่าเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา แต่ บอยคอตการเข้าร่วมประชุมรัฐสภา ล้อมสภาโดยใช้อันธพาล ไม่ยอมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ล้อมสภาโดยใช้ทหาร เป็นความเคลื่อนไหวที่ อภิสิทธิ์ เคยทำมาแล้วทั้งสิ้น

ครั้งนี้ การที่อภิสิทธิ์ใช้ทหารยึดสภา ก็ เพื่อที่ตนจะได้มาเข้าร่วมประชุมสภา โดยใช้ความหน้าด้านเข้าสู้ ไม่ได้ใส่ใจว่าโลกทั้งโลกจะมองว่า นายกรัฐมนตรีของประเทศ มาประชุมสภาทั้งที ต้องใช้ทหารคุ้มกันมากมาย กว่าผู้นำอิรัก ไปประชุมสภาหลายเท่า

ความป่วยทางจิต ที่ อภิสิทธิ์ ถูกวินิจฉัย โดยทักษิณนั้นเริ่มเห็นเค้ารางขึ้นมาแล้ว จากการกระทำการสั่งการต่างๆที่ผ่านมา อภิสิทธิ์ แค่ต้องการแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ หาได้มีความจริงใจที่จะต้องการให้ประเทศชาติสงบสุขไม่ อภิสิทธิ์เพียงแต่อ้างว่า ถ้ายุบสภาแล้วไม่เชื่อว่าประเทศจะสงบสุข แต่ก็ไม่ได้บอกว่าถ้าตนเองเป็นนายกต่อไปแล้ว ประเทศจะสงบสุขหรือไม่

ครั้งนี้ เอาทหารมายึดรัฐสภาไว้ เป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ไม่อยากให้ สส. ฝ่ายค้านเข้าร่วมประชุมรัฐสภา ถ้าเข้าไปอาจจะไม่รับรองความปลอดภัย ถ้าเกิด สส. ฝ่ายค้านเกิดทะเลาะกับรัฐบาลขึ้นมาแล้ว ใครจะรับรองความปลอดภัย

แล้วความไร้มารยาทที่สุด ของ อภิสิทธิ์คือ ให้ทหารมาเจรจา กับรองประธานสภา ให้ทหารมาเจรจากับ สส. ให้เดินเท้าเข้ารัฐสภา ถึงแม้ภายหลังจะออกมาให้สัมภาษณ์ ว่า สส. สามารถเอารถเข้าได้ก็ตาม ก็ ยังไม่ได้แสดงความจริงใจเพียงพอ

อย่ามาอ้างว่ารัฐบาลกลัวเกิดเหตุ เหมือนที่พันธมิตรล้อมรัฐสภา อย่ามาอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของสมาชิกสภา อย่ามาอ้างเหตุใดๆให้ทหารเข้ายึดรัฐสภา ให้เกิดภาพเหมือนภาวะสงครามเช่นนี้ เพราะภาพที่มันกำลังจะออกไปทั่วโลกคือ ภาพที่นายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐบาลทำงานไม่ได้ หากไม่มี 3 กองพัน หรือ 24 กองร้อย คอยให้ความอารักขา

หากเป็นตัวแทนของประชาชน หากไม่ใช่เผด็จการ ทรราชแผ่นดิน ทำไมจะต้องกลัวขนาดนี้ หากไม่ได้ทำผิดคิดชั่ว หากไม่ได้กลัวเสียอำนาจ ทำไมจะต้องทำตัว ชิงหมาเกิดเช่นนี้

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิกฤติศรัทธรา วิกฤติการเมือง และ ทางออก จากอีกหนึ่งมุมมอง



ความร้อนแรงของสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ได้ก้าวข้ามความขัดแย้งระหว่าง อำมาตย์ และ ทักษิณ ไปอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อรัฐบาลผู้ซึ่งได้รับความสนับสนุนในทุกๆด้านจากอำมาตย์ ไม่ได้แสดงความจริงใจต่อสังคมไทยในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ อีกทั้งยัง ไม่มีความพยายามบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม กับประชาชนทุกคนให้เท่าเทียมกัน ในขณะที่คนเสื้อแดงนั้นไม่ได้เรียกร้องทวงเงินคืนให้ทักษิณ แต่เป็นการเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตามกรอบรัฐธรรมนูญ เรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ตัดสินใจยุบสภาฯ คืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ทั้งฝ่ายผู้เรียกร้องและผู้ครองอำนาจ ที่ต้องปฏิบัติตามคำเรียกร้อง

วิกฤติการเมือง อันเกิดมาจาก กลุ่มคนซึ่งรวมตัวกันเรียกร้องผลประโยชน์ส่วนตน พยายามบีบบังคับให้ นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนส่วนใหญ่ลงจากตำแหน่ง คนกลุ่มนี้มีแกนนำที่ หลอกใช้ประชาชน ให้กระทำการหลากหลายทั้งที่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง อีกทั้งยังร่วมมือกับพรรคการเมืองคู่แข่งของรัฐบาลในสมัยนั้น ดำเนินการทั้งถูกและผิดกฎหมายให้เอื้ออำนวยต่อการใช้กำลังทหาร โดยการสั่งการของอำมาตย์ เข้ายึดอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจาก นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วจึงใช้อำนาจทหาร ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน หลังจากนั้นการเขียนรัฐธรรมนูญ โดยตัวแทนอำมาตย์ได้สร้างความปั่นป่วนในระบอบนิติรัฐ จนนำไปสู่การกำจัดคู่แข่งทางการเมือง




ส่วนวิกฤติศรัทธรา นั้น ได้เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจาก รัฐธรรมนูญ ฉบับอำมาตย์ การยัดเยียด องค์กร อิสระต่างๆให้เป็นมือเป็นเท้าของอำมาตย์ในการสืบทอดอำนาจ และ กำจัดศัตรูทางการเมือง จนนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายอำมาตย์อย่างไม่เป็นธรรม และได้ตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดขึ้นมาในค่ายทหารในที่สุด วิกฤติศรัทธรานั้น ได้เกิดขยายวงขึ้นเหมือนระลอกคลื่นหลังจากที่รัฐบาลหุ่นเชิดอำมาตย์ ยังคงบังคับใช้กฎหมายอย่างไร้หลักยุติธรรม มีการแทรกแทรงกระบวนการยุติธรรม มีการแทรกแทรงระบบข้าราชการ ระบบสื่อสารมวลชน ในขณะที่การบริหารราชการแผ่นดินก็ดำเนินการไปโดยทุจริต ไม่ว่าจะเป็นโครงการต่างๆ จากทั้งเงินภาษีในปัจจุบัน และ กู้มาจากภาษีของประชาชนในอนาคต เพื่อนำมาทุจริตผ่านโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเพื่อประชาชน โครงการภาครัฐ โครงการด้านการทหาร รวมไปถึงโครงการลับ มากมาย การบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐบาลหุ่นเชิดก็เป็นไปอย่างไร้สมรรถภาพ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อวิกฤติศรัทธรา เช่น เกษตรกรรมที่ตกต่ำ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ถูกปล่อยปะละเลย การค้าระหว่างประเทศ การลงทุนภาคอุตสาหกรรมที่จะสืบเนื่องไปสู่การสร้างงาน ด้านสังคม เช่น การปล่อยให้มีบ่อนหวยใต้ดินเกิดขึ้นมากมาย ยาเสพติดไม่ได้รับการดูแลจริงจัง ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ยังมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ไม่วาจะเป็นการบุกรุกป่าสงวนเพื่อสร้างสนามกอล์ฟ สร้างบ้านบนที่รัฐ โดยนายทุน และ ผู้มีอำนาจที่สนับสนุนรัฐบาลหุ่นเชิดของอำมาตย์

จากวิกฤติการเมืองนำไปสู่วิกฤติศรัทธราในวงกว้าง นำไปสู่ความขัดแย้ง นำไปสู่ประชาชนมากมายที่รับไม่ได้ในกระบวนการไร้มาตรฐานของรัฐบาลหุ่นเชิดของอำมาตย์

และวิกฤติศรัทธราที่เกิดขึ้นนี้ยัง แสดงให้สังคมไทยได้เห็นถึงการตอบสนองจากผู้ครองอำนาจรัฐ ที่ตอบโต้โดยการกดหัวประชาชน ใส่ร้ายป้ายสี ดูถูกเหยียดหยามประชาชน หนักหน่วงและกว้างขวางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

รัฐบาลหุ่นเชิดนำเอาสถาบันเบื้องสูง ที่ผู้คนเคารพบูชา มาเป็นเครื่องมือทำลายความชอบธรรมของประชาชนอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดประชาชนทนไม่ไหว จึงต้องออกมาเรียกร้อง ทวงคืนอำนาจอธิปไตย ขอใช้สิทธิตัดสินทิศทางของประเทศชาติและสังคมอีกครั้ง

รัฐบาลหุ่นเชิดของอำมาตย์ ไม่ใส่ใจ ไม่แสดงความจริงใจ แต่กลับใช้อำนาจที่มีอยู่ สร้างภาพให้เกิดความเกลียดชัง ขัดแย้งระหว่างประชาชน สร้างความขัดแย้งเพื่อที่ตนและพวกพ้องจะได้ครองอำนาจอยู่ต่อไป

ทางออกที่ดีที่สุด ที่ประชาชนสามารถทำได้เพื่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นในบ้านเมือง คือการร่วมรณรงค์อย่างสันติ อหิงสา เพื่อร่วมกันกดดันให้รัฐบาลคืนอำนาจอธิปไตยกลับสู่สังคม คืนสิทธิในการตัดสินทิศทางของประเทศชาติให้แก่สังคม แล้วจึงแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยใช้ตัวแทนจากประชาชน เพื่อแก้ไข กฎหมายสูงสุดของแผ่นดิน ให้ สังคมไทยกลับเข้าสู่สภาวะ ปกติสุข

รัฐบาลหุ่นเชิดควรเร่งตัดสินใจในทันที ให้

ยุบสภาฯ คืนอำนาจอธิปไตยให้ปวงชนชาวไทย

ถึงเวลาเปิดมาตรการกดดันรัฐบาล เพิ่มเติม


อภิสิทธิ์ต้องยึดเก้าอี้ไว้ให้นานที่สุด เพราะแม้แต่ตัวเองก็มั่นใจว่า ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาส เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยคนส่วนมากอีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะพยายามสร้างภาพบิดเบือนว่า หากเลือกตั้งคราวนี้ พรรคของตนจะได้ สมาชิกสภาผู้แทนฯ มากถึง 244 เสียงก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงความฝัน เป็นเพียงการปลอบใจ หลอกตัวเองเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว การเลือกตั้งคราวต่อไป พรรคประชาธิปปัตย์ ไม่มีทางที่จะได้ เป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขันแน่นอน ยกเว้นว่าจะโกงการเลือกตั้งเท่านั้น

ตอนนี้ยังไม่เห็นหนทางที่จะกดดันให้ อภิสิทธิ์ ยุบสภาฯ เนื่องจากการควบคุมสื่อแบบเผด็จการแล้ว การสร้างเรื่องระเบิดใน กทม. เบี่ยงเบนความสนใจของสื่อมวลชนไปอย่างหน้าด้านๆ และก็ความหน้าด้านของอภิสิทธิ์ นี่แหละ ที่แสดงตัวเหมือนไม่ให้ความสำคัญ ที่จะแก้ปัญหาผ่านระบบรัฐสภาฯ ไม่เข้าร่วมประชุมสภาฯ ขอเลื่อนประชุมร่วมสองสภาฯ ออกไป

มาตรการที่คนเสื้อแดงใช้ที่ผ่านมา และ กำลังใช้ในปัจจุบัน นั้น อาจจะต้องใช้เวลาเนิ่นนาน กว่าจะสามารถรวบรวมพลังมวลชนจำนวนมากกว่า ล้าน คน และ แนวร่วมทั่วประเทศเพื่อนัดกันหยุดงานให้พร้อมเพรียงกัน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการ ตามหานายกฯ หรือ มาตรการสละเลือด หรือ มาตรการปรับตัวชุมนุมยืดเยื่อยาวนาน และ ท้ายที่สุด มาตรการ ตาต่อตาเต้นท์ต่อเต้นท์ ก็ตาม เราจะยังคงเห็นได้ว่า อภิสิทธิ์นั้นแกล้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ว่างๆ ก็ นั่งเครื่องบินเที่ยว เรื่อยไป แสดงอาการไม่ใส่ใจ

ล่าสุดก็บินไป ดูแม่น้ำโขง ผู้เขียนก็งง ว่าดูทำไม น้ำมันแห้งมาตั้งนานแล้ว นายกเพิ่งจะได้ข่าวหรืออย่างไร แล้วก็ สปอทโฆษณาทางทีวี ที่พยายามเพิ่มนายกเป็นพรีเซนเตอร์ ก็ เริ่มมีออกมาให้เห็นแล้ว ได้กลิ่นอายของการเลือกตั้งใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ

ผู้เขียนยังขอยืนยัน ในมาตรการที่เห็นว่าจะสามารถทำควบคู่ไปกับการชุมนุม และเป็นการเร่งกดดัน ให้ นายกฯ ยุบสภาฯ คืนอำนาจให้เร็วขึ้น ผู้เขียนขอนำเสนอย้ำ ดังต่อไปนี้

มาตรการเข้าชื่อถอดถอน นายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 304 โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อ ห้าหมื่นคนขึ้นไป ยื่นถอดถอนผ่านวุฒิสภาฯ

สิ่งที่ผู้เขียนอยากจะเน้นก็คือ เรื่องของผลลัพธ์จากการตรวจสอบนั้น เป็นเรื่องที่คาดหวังไม่ได้ ว่า ปปช. จะให้ความยุติธรรมโดยการไต่สวนอย่างยุติธรรม และ อาจจะใช้เวลานาน

เราต้องการผลลัพธ์ ทางอ้อมคือ ใช้จำนวนประชาชนที่แสดงตัวผ่านลายเซ็นและสำเนาบัตรประชาชน นั้น เป็นแรงกดดัน แบบวันต่อวัน หากมีคนลงชื่อมากกว่าล้านคนแล้ว นายก และ รองนายกฝ่ายความมั่นคง ก็ จะ ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า เป็น รัฐมนตรีที่มีคนเข้าชื่อถอดถอนมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

เป็นการกดดันทุกชั่วโมงเมื่อแกนนำประกาศบนเวที ว่า ขณะนี้ ได้รายชื่อ ห้าแสนคนแล้ว ขณะนี้ได้รายชื่อ แปดแสนคนแล้ว และมีการนำขบวนผู้ชุมนุมนำรายชื่อจากต่างจังหวัดเข้ามาส่ง เป็นการรวมล้านใจ ขับไล่ รัฐบาลอำมาตย์

คนเสื้อแดงอาจจะยื่นถอดถอนนายก ในข้อกล่าวหาว่า อภิสิทธิ์ สั่งการให้มีการสร้างสถานการณ์เพื่อสลายการชุมนุมเมื่อ เมษายน ปี 52 และ ข้อกล่าวหาเทพเทือกว่า ใช้กฎหมายใดในการร่วมมือโจรกรรม ข้อมูลการสื่อสารระหว่างประเทศ เป็นต้น

ทางแกนนำอาจจะมี ข้อกล่าวหาอื่นที่ดีกว่านี้ แต่ผู้เขียนเชื่อว่า การร่วมลงชื่อผลักดันนั้น จะเป็นการกดดันที่ดี ตามแนวทางสันติวิธี อีกมาตรการหนึ่ง


ถอดถอนมัน!!!

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

ยุบสภา คืนอำนาจ ทันที



“อภิสิทธิ์อ้างว่า การตัดสินใจยุบสภา ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก นีโอ คิดว่าอภิสิทธิ์พูดถูกต้องแล้ว

ดังนั้น นีโอ จึงขอเรียกร้องให้ อภิสิทธิ์เร่งยุบสภาในทันที เพราะยิ่งอยู่ต่อไป ยิ่งทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสียประโยชน์

ทั้งที่เป็นนายกมา ก็ ไม่ได้สร้างประโยชน์อันใดให้แก่ประเทศชาติและประชาน ไร้ผลงาน ไร้ความนิยม ไร้รสนิยม ไร้สิ้นซึ่งความดีงาม แก่สังคมไทย

ยุบสภา คืนอำนาจในทันที คือการตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ ของประเทศชาติและประชาชน”


นีโอคอนเซอเวทีฟ
20 มีนาคม 2553

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

ยืนติดพื้นขนาดนี้แล้ว จะให้หาทางลงไปไหนอีกครับ คุณ สมศักดิ์ เจียมฯ

เมื่อคุณ สุรชัย แซ่ด่าน ประกาศถอนตัวพร้อมกับทำนายว่า คนเสื้อแดงแพ้แล้ว เพราะไม่ดำเนินการตามแนวทางปฏิวัติ ตามมาด้วยคำขาดของ สามเกลอซึ่ง ตัด เสธ แดง ออกจากแนวร่วมและไม่ยินยอมให้ เสธ แดง ดำเนินการใดๆโดยอ้างว่าเป็นการกระทำของ นปช. อีกต่อไป ทำให้ มีความคิดเห็นเกิดขึ้นมากมาย

หนึ่งเสียงที่ดังพอๆ กับ คุณ สุรชัย และ เสธ. แดง คือ อ. สมศักดิ์ เจียมฯ นักสืบคดี สวรรณคต แห่งชุมชนคนเหมือนกัน คุณ สมศักดิ์ ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในกระทู้ สองคำถาม หนึ่งคำตอบ เสนอให้ แกนนำ นปช. หาทางลง และ ยุติการชุมนุม


ผู้เขียน มองว่านี่เป็นสัญญาณ อันตราย เป็นไปได้ว่า รัฐบาลอาจจะใช้กำลังทหาร ปราบปรามประชาชนผู้ชุมนุมกันอย่างสงบ สันติ ปราศจาก อาวุธ

สมศักดิ์ เจียมฯ เสนอว่า “เสนอว่า เสื้อแดงควร "หาทางลง" และยุติการชุมนุมในเวลาไม่กี่วันข้างหน้านี้ เช่น ถือโอกาส กิจกรรมเคลื่อนขบวนรถตามถนนกรุงเทพฯ เพื่อ "ขอบคุณ คนกรุงเทพฯ" ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ เป็น "ทางลง" แล้วหาทางตั้งหลัก เคลื่อนไหวใหม่ในอนาคต”

และ ได้ ตั้งคำถามสองคำถามขึ้น แล้วก็ ตอบเอาเองว่า “ไม่”

คำถามที่ คุณ สมศักดิ์ ตั้งขึ้น มีดังนี้

1. "เป้าหมาย ของการชุมนุม มีแนวโน้มที่จะบรรลุได้ ด้วยมาตรการต่างๆที่ได้ใช้มาจนถึงจุดนี้ หรือไม่?"
2. "มีมาตรการอื่นที่เป็นไปได้ ที่ยังไม่ได้ใช้ ทีสามารถทำให้เป้าหมาย ซึ่งไม่บรรลุนั้น บรรลุได้ หรือไม่?"

คุณ สมศักดิ์ เชื่อว่า คำตอบของทั้งสองคำถาม คือ “ไม่” และ “ไม่” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คุณ สมศักดิ์ ได้มองข้าม ส่วนประกอบ ของสถานการณ์ ที่จะนำพาคนเสื้อแดงไปสู่ชัยชนะ จนทำให้เกิดการคาดการณ์ที่ผิดพลาด แล้ว ก็ ออกมาแสดงความคิดเห็นในทำนองหวังดี ที่เป็นผลร้ายต่อการชุมนุมกดดัน รัฐบาลปัจจุบันให้ยุบสภาฯ โดยที่ได้นำเสนอ หนทางที่ควรจะดำเนินการ

คุณ สมศักดิ์ อาจจะคิดว่า ตัวเองเป็นคนกลาง หรือไม่ คือ ต้องวิจารณ์ทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่ต้องให้ความช่วยเหลือฝ่ายใด เพราะการชี้แจงให้แกนนำ นปช. หาทางลงนั้น เป็นการบอกว่า ให้ยอมแพ้ไปก่อน แล้วค่อยกลับมาสู้ใหม่ ผู้เขียนเห็นต่างจาก คุณ สมศักดิ์ ตรงที่ว่า มาตรการที่ อ. สมศักดิ์ ได้นำเสนอนั้น สามารถทำได้ ระหว่างการชุมนุม

จากสองคำถาม ที่ คุณ สมศักดิ์ ถามตัวเอง แล้ว ตอบตัวเองนั้น ทำให้เห็นว่าได้มองข้ามประเด็นสำคัญ ของการชุมนุมตามแนวทางสันติวิธี ไปอย่างน่าเสียดาย ผู้เขียนจึงขออนุญาต ชี้แจงทั้งสองคำถามดังต่อไปนี้

"เป้าหมาย ของการชุมนุม มีแนวโน้มที่จะบรรลุได้ ด้วยมาตรการต่างๆที่ได้ใช้มาจนถึงจุดนี้ หรือไม่?"

ผู้เขียนเห็นว่า เป้าหมายแรก ณ ปัจจุบัน ของการชุมนุม คือ การเรียกร้องให้ นาย อภิสิทธิ์ ตัดสินใจยุบสภาฯ ในทันที


ด้วยมาตรการที่ผ่านมา สามมาตรการหลักๆ สรุปง่ายๆคือ (1) มาตรการขอเข้าพบ และ (2) มาตรการสละเลือด แสดงความตั้งใจ และ (3) มาตรการปรับตัวเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะชุมนุม ยืดเยื้อยาวนาน ซึ่งมาตรการทั้งสามนี้ ได้รับการยอมรับเป็นที่กว้างขวางว่า เป็นมาตรการภายใต้แนวทางสันติวิธี

สำหรับมาตรการแรกนั้น การที่ผู้ชุมนุม เดินทางไป รบ. 11 เพื่อเข้าพบ นายกฯ เป็นการกดดัน รัฐบาล เมื่อ นายกฯ ปฏิเสธไม่ให้เข้าพบโดยการ ขึ้น ฮ. บินหนีไป และ มาตรการขอเข้าพบจะยังคงปฏิบัติต่อไปหากพบว่า นายกฯ มาทำงานที่ทำเนียบ หรือ เข้าร่วมประชุมในรัฐสภาฯ หรือ เข้าร่วมประชุมพรรค หรือ กลับบ้าน มาตรการนี้ แสดงให้ประชาชนได้เห็นว่า นายกฯ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสะดวกสบาย จะโผล่ออกมาได้ เฉพาะตอนที่ผู้ชุมนุมเผลอ หรือ ตอนที่ผู้ชุมนุมเตรียมตัวเข้าพบไม่ทัน เท่านั้น มาตรการนี้ จึงเป็นการกดดัน ไม่ให้ นายกฯ ที่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนส่วนใหญ่ ได้ปฏิบัติหน้าที่ อย่างสะดวกสบาย

สำหรับมาตรการที่สองนั้น การที่ผู้ชุมนุม ได้ยอมสละเลือด เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้ชุมนุมมีความตั้งใจที่จะเรียกร้อง ให้ นายกฯ ยุบสภาฯ ตามแนวทางสันติวิธี การแสดงความตั้งใจครั้งนี้ ได้รับการติดตามจากสื่อมวลชน และ ประชาชนจำนวนมาก และในที่สุดได้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ชุมนุม ยึดมั่นในหลักสันติวิธี เมื่อผู้ชุมนุม ไม่ยอมใช้ความรุนแรง จึงทำให้การเรียกร้องของคนเสื้อแดง แตกต่างจากพันธมิตร และ ไม่เปิดโอกาส ให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงเป็นข้ออ้างในการ ประกาศ พรก. ฉุกเฉิน เพื่อสลายการชุมนุม จึงสรุปได้ว่า มาตรการนี้ เป็นมาตรการที่ดี ในการชิงพื้นที่สื่อทั้งใน และ ระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการสร้างแนวร่วมในสังคมจากชนชั้นกลาง ที่พิจารณาแล้วเห็นว่า ถึงแม้ ผู้ชุมนุมจะยอมเสียเลือด แต่ก็ไม่ยอมใช้ความรุนแรง

สำหรับมาตรการที่สาม การปรับตัวเตรียมพร้อมในการชุมนุมยืดเยื้อยาวนาน ของผู้ชุมนุม เป็นการเปิดโอกาส ในการให้ข้อมูล ที่มีน้ำหนัก แก่สังคมไทย โดยที่รัฐบาลจำเป็นจะต้อง ชี้แจงเพื่อลดความชอบธรรมของการชุมนุม ซึ่งอาจนำไปสู่การพิสูจน์ ข้อกล่าวหาต่างๆ อีกทั้งการที่ผู้ชุมนุมเตรียมพร้อมที่จะชุมนุมยืดเยื้อยาวนานนั้น ยังเป็นการกดดัน ที่ดี ที่จะทำให้ รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายให้เป็นมาตรฐานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คดียึดสนามบิน คดียึดทำเนียบ คดีสนามกอล์ฟบุกรุกพื้นที่ป่า และ คดี อื่นๆที่พรรคพวก ของรัฐบาล และ อำมาตย์ ได้กระทำลงไป จึงสรุปได้ว่า มาตรการ ปรับตัวเตรียมพร้อมที่จะชุมนุมแบบยืดเยื้อยาวนาน เป็นการกดดันที่ดี อีกทางหนึ่ง

ผู้เขียน มองว่าทั้งสามมาตรการข้างต้น เป็นแนวทางที่ดี ที่จะช่วยให้รัฐบาลยอมเปิดโต๊ะเจรจา ว่าจะยุบสภาฯ เมื่อไหร่ อย่างไร และทั้งสามมาตรการนั้นเป็นเป็นการปฏิบัติที่ได้ช่วยเพิ่มความชอบธรรมในการเรียกร้องประชาธิปไตย ตามแนวทางที่เป็นที่ยอมรับเป็นสากล จึงสรุปได้ว่า เป็นมาตรการที่ช่วยสร้าง แนวโน้ม ไปสู่การบรรลุเป้าหมาย ได้อย่างมั่นคง

ผู้เขียนยังเข้าใจดีว่า ผู้ชุมนุมยังมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มมาตรการ ในการกดดัน ซึ่งจะได้ อธิบายควบคู่ไปกับ การตอบคำถามที่สองของ คุณ สมศักดิ์ ในคราวเดียวกัน คือ


"มีมาตรการอื่นที่เป็นไปได้ ที่ยังไม่ได้ใช้ ทีสามารถทำให้เป้าหมาย ซึ่ง(ยัง)ไม่บรรลุนั้น บรรลุได้ หรือไม่?"

ผู้เขียนขออนุญาต เติมคำในวงเล็บ ลงในประโยคคำถาม เพื่อที่จะแสดงทัศนคติ และ ความเชื่อ ของผู้เขียน โดยใช้คำว่า “(ยัง)”

ผู้เขียน ตอบได้ทันทีว่า “มี” เพียงแต่ว่า แกนนำจะนำไปปฏิบัติ หรือไม่ เนื่องจากทุกท่านทราบดีว่า สามมาตรการหลักๆ ที่ได้ปฏิบัติไปแล้วนั้น ไม่เพียงพอที่จะกดดันให้ อภิสิทธิ์ ยุบสภาฯ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากขาด มาตรการ ที่เป็นตัวเร่ง และ เพิ่มแรงกดดัน ไปสู่รัฐบาล เพื่อบีบให้ ตัดสินใจยุบสภาฯ

มาตรการที่ อยากนำเสนอ มีดังต่อไปนี้

1 การอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภาฯ โดยประชาชน โดยข้าราชการ โดยนักการเมือง ซึ่งจะเป็นการนำข้อมูล ที่ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาล โกงเงินภาษี จากโครงการต่างๆ อย่างไร หรือ รัฐบาล ดำเนินนโยบาย การบริหารราชการ ผิดพลาด อย่างไร หรือ รัฐบาลมีความประพฤติไม่เหมาะสม ที่จะได้รับความไว้วางใจ ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป อย่างไร

มาตรการนี้ จะเป็นการติดอาวุธ ทางปัญญา ให้พี่น้องประชาชน ในขณะที่ เป็นการกดดันให้เกิดแรงกระเพื่อมภายในรัฐบาล หากไม่สามารถ ตอบคำถามสังคมได้อย่างมีหลักฐาน และ เหตุผล

2 มาตรการเข้าชื่อ ยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี หรือ คณะรัฐมนตรี อาศัยอำนาจตามมาตรา 304 เพื่อแสดงให้เห็นว่า มีประชาชนจำนวนมากไม่พอใจ ไม่เห็นด้วย คัดค้าน ที่จะให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน บริหารราชการแผ่นดินต่อไป ซึ่งผู้เขียน ได้เสนอแนวทางเบื้องต้นไว้ที่ http://ncred.blogspot.com/2010/03/blog-post_17.html

3 มาตรการที่ คุณ สมศักดิ์ นำเสนอ เช่น จัดตั้ง องค์กร คู่ขนาน ทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น หรือ กลายเป็น สมัชชา, เปิดโอกาส และ เชื้อเชิญ ให้ นักการเมืองทั้งใน และ นอกสภาฯ รวมไปถึงบ้านเลขที่ 111 ให้มีบทบาทส่งเสริมกัน




และ มาตรการรุนแรงอื่นๆ หากสามารถ สร้างแนวร่วมได้เป็นจำนวนมาก เช่นการนัดกัน หยุดงาน พร้อมกัน เป็นต้น

.......................................................

สรุปโดยรวม ผู้เขียนเห็นว่า แกนนำคนเสื้อแดง โดยเฉพาะ สามเกลอ นั้น ยืนติดดินแล้ว ไม่รู้จะให้ลงจากอะไรอีก อีกทั้งมาตรการต่างๆ ที่ คุณ สมศักดิ์ เจียมฯ เสนอ ก็เป็นที่น่าเชื่อว่า สามารถ เริ่มกระทำได้ระหว่างชุมนุม เป็นการดี กว่า การกลับไปแอบตั้งองค์กร แล้วค่อยกลับมาใหม่ เพื่อให้สังคมได้เห็นการพัฒนาการขององค์กร ในระหว่างขับไล่รัฐบาล

อ้างอิง กระทู้ คุณ สมศักดิ์ เจียมฯ ที่เกี่ยวข้อง


ผมหว้งว่า แกนนำเสื้อแดง(โดยเฉพาะคุณจตุพร) จะไม่ดื้อดึงนะครับ ถึงเวลาควรถอย ก็ควรถอย สิ่งที่น่าคิดคือ เริ่มต้นคิดสำหรับระยะยาว
http://weareallhuman.net/index.php?showtopic=44168

ถือโอกาส "ลง" (ยุติชุมนุม) หลัง "ขบวนรถขอบคุณคนกรุงเทพ" แล้วปรับขบวนใหม่ ดังนี้ . . .
http://weareallhuman.net/index.php?showtopic=44229

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

นีโอ ขอเสนอมาตรการ กดดันให้รัฐบาล ยุบสภาฯ “ควบคู่”ไปกับมาตรการ ของแกนนำ

เนื่องจากการบริหารราชการแผ่นดิน ของรัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งนำโดย นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ คณะรัฐมนตรี เป็นไปโดยมี พฤติการณ์ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำ ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย

จนได้มีพี่น้องประชาชนจากทั่วทุกสารทิศ นำโดยพี่น้องประชาชน คนเสื้อแดง ออกมาเรียกร้องให้มีการ ยุบสภาฯ คืนอำนาจให้แก่ประชาชน เพื่อตัดสินทิศทางของสังคม และ ประเทศชาติ ตามแนวทางสันติวิธี ที่บัญญัติให้ เป็นสิทธิอันชอบธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับประชาชน 2540 และ ฉบับอำมาตย์ 2550




มาตรการ ที่ นีโอ อยากจะนำเสนอตามแนวทางสันติวิธีนั้น เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะแสดงสัญลักษณ์ ว่าประชาชนจำนวนมากไม่ต้องการให้รัฐบาลชุดปัจจุบันบริหารราชการแผ่นดินต่อไป โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 1,000,000 (หนึ่งล้าน) คน เข้าชื่อร้องขอ ให้วุฒิสภา มี มติถอดถอน นายกรัฐมนตรี ซึ่งตามกฎหมายระบุไว้เพียง 50,000 คน เท่านั้น

ทั้งนี้ อาศัยอำนาจตามมาตรา 304 ของรัฐธรรมนูญ ให้เป็นการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ว่า นาย อภิสิทธิ์ เป็น นายกรัฐมนตรี ที่มีประชาชนเข้าชื่อถอดถอน มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

การรณรงค์ เข้าชื่อยื่นถอดถอนในครั้งนี้ นีโอ เห็นว่า จะเป็นแนวทางสันติวิธี อีกแนวทางหนึ่งที่น่าจะทำควบคู่ไปกับ มาตรการ กดดัน แนวทางอื่นๆ ที่ทางแกนนำคนเสื้อแดง คิดว่ามีน้ำหนักพอ ที่จะกดดันให้ นาย อภิสิทธิ์ ตัดสินใจยุบสภาฯ

พี่น้องประชาชน ไม่จำเป็นจะต้องหวังว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งเป็นลิ่วล้ออำมาตย์นั้น จะทำการไต่สวนอย่างเป็นธรรม หรือไม่ เราเพียงต้องการแสดงให้เห็นว่า มีประชาชนมากมายแค่ไหน ที่คิดว่า นาย อภิสิทธิ์ และ รัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น ไม่สมควร บริหารราชการแผ่นดินต่อไป

การเข้าชื่อยื่นถอดถอน นายกรัฐมนตรี นั้น สามารถกระทำได้ในหลายข้อกล่าวหา เช่น

คุณสมบัติ ของนายกรัฐมนตรี ซึ่ง ไม่ผ่านการเกณฑ์ทหาร และ การยื่นหลักฐานเท็จ ในการสมัครเข้ารับราชการ จึงขาดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี

หรือ

การใช้อำนาจหน้าที่โดย มิชอบ จากการที่นาย อภิสิทธิ์ สั่งการให้ข้าราชการฝ่ายความมั่นคง ใช้กำลังทหาร ตำรวจ สร้างสถานการณ์ความรุนแรง เพื่อใส่ร้ายผู้ชุมนุม และ สร้างเหตุ ในการประกาศ พรก. ฉุกเฉิน เมื่อ เดือน เมษายน ปี 52

หรือ ทางแกนนำอาจจะมีข้อกล่าวหาอื่นๆ ที่สามารถ ชี้แจงว่า นาย อภิสิทธิ์ มีพฤติกรรมที่เข้าข่าย การยื่นถอดถอนโดยประชาชน



แกนนำอาจจะ จัดให้มีการยกทัพ จัดทัพส่งรายชื่อยื่นถอดถอน จากทั่วประเทศ เข้ามาส่งที่ เวทีราชดำเนิน ทั้งทัพบก ทัพเรือ พร้อมธงแดงโบกสะบัด มาเสริมทัพหน้า เสริมขวัญกำลังใจ ของผู้ชุมนุมบนถนนราชดำเนิน และ จะเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับ คุณ จตุพร ที่กำลังรณรงค์ รวบรวมรายชื่อ ยื่นถอดถอน ศาลฎีกาฯ พอดี

ไม่ว่าแกนนำ จะรับไว้พิจารณาหรือไม่ นีโอ อยากนำเสนอ แนวทางนี้ เพื่อให้ลองพิจารณากันดู ว่า มาตรการกดดันนี้ อาจจะได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ และ เป็นการสร้างแนวร่วม สันติวิธี ต่อไป และ ถ้าหากได้เกินล้านชื่อ ก็ จะยิ่งดี

อ้างอิง

มาตรา 304 สมาชิกผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของ จำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อ ประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติตาม
มาตรา 307 ให้ถอดถอนบุคคล ตาม มาตรา 303 ออกจากตำแหน่งได้ คำร้องขอดังกล่าวต้องระบุ พฤติการณ์ที่กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวกระทำความผิดเป็น ข้อ ๆ ให้ชัดเจน

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ส่วนที่ 3 การถอดถอนจากตำแหน่ง
http://www.kodmhai.com/m1/m1-303-307.html

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทางออกสุดท้ายของ อภิสัตว์ คือการดึงเบื้องสูง ลงมาใส่ร้ายคนเสื้อแดง ครับ

อยากให้พี่น้องคนเสื้อแดงได้ทราบเพื่อให้เกิดความมั่นใจ และ ไม่ต้องวิตกกังวลใดๆ เกี่ยวกับคนเสื้อแดง เพราะเป็นที่แน่นอน และ ชัดเจนแล้วว่าคนเสื้อแดงนั้น จงรักภักดี ต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างหาที่สุดไม่ได้ และ คนเสื้อแดง ยืนยันมาตลอดว่า พวกเราไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะกระทำการใดๆ ซึ่งจะเป็นเหตุให้ สถาบันทั้งสาม โดยเฉพาะ สถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องมีอันเสื่อมเสีย หรือ ระคายเคืองใดๆ

สาเหตุที่ผู้เขียนจำเป็นที่จะต้องเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพราะไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ผู้เขียนได้รับ เมล์ ลูกโซ่ พร้อมไฟล์ภาพ ที่พยายามเชื่อมโยงใส่ร้ายคนเสื้อแดง โดยการดึงสถาบันเบื้องสูงลงมา แล้วบิดเบือนข้อมูลอาศัยศรัทธรา ที่ประชาชนมีต่อ ในหลวงเพื่อทำร้ายศัตรูทางการเมือง โดยเฉพาะคนเสื้อแดง ซึ่งกำลังต่อสู้ตามแนวทางสันติกันอยู่ในกรุงเทพมหานคร

ภาพดังต่อไปนี้ ทราบว่ามีต้นตอมาจาก ลูกน้องเนรวิน เพราะมีชื่อ เวปไซท์ลงไว้ชัดเจน เป็นภาพที่พยายามแสดงให้พี่น้องประชาชนที่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ได้เห็นว่า ศัตรูของรัฐบาลเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้เขียนขอแสดงให้ดูเพียงแค่ภาพแรก นะครับ




ผู้เขียนเชื่อว่า กลุ่มคนที่ต่อต้านระบบกษัตริย์ในประเทศไทยมีอยู่จริง แต่เชื่อมั่นมาก ว่า คนเหล่านั้น ไม่ใช่พี่น้องประชาชนคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดิน

ผู้เขียนยังรู้สึก และ เชื่อ อย่างบริสุทธิ์ใจว่า คนที่ไม่หวังดี ต่อสถาบันน่าจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก รัฐบาล นักการเมืองที่ทรยศประชาชน

ถ้าพี่น้องสังเกต จะเห็นว่า ขณะที่พวกเรากำลังเดินทางไปที่ รบ. 11 นั้น อภิสัตว์ กับ ลูกหม้อ เนรวิน ขึ้น เฮลิคอปเตอร์ ไปด้วยกัน ผู้เขียนเดาว่า คงจะไปปรึกษากันว่า จะใส่ร้ายป้ายสีพี่น้องคนเสื้อแดงอย่างไร จะยั่วยุพี่น้องคนเสื้อแดงอย่างไร และ ทำอย่างไรจึงจะได้แรงสนับสนุนจาก ประชาชน

การกระทำเหล่านี้ เริ่มต้นมาจาก อันทะมิด จนเป็นที่นิยม โดยทั่วไปในหมู่คนชั่ว คนเลว จนมาถึงปัจจุบัน ไม่มีอะไร ที่จะช่วยให้ อภิสัตว์หาแนวร่วมภาคประชาชนมาจัดการศัตรูได้ดีเท่ากับ การป้ายสีศัตรูของรัฐบาลว่าไม่จงรักภักดี ผู้เขียนจึงขอประณามการกระทำนี้ ซึ่งเป็นการดึงฟ้าต่ำ นำสถาบันเบื้องสูงลงมาทำร้ายพี่น้องประชาชน

เมื่อคืนนี้ คนเสื้อแดงได้รับเกียรติ จากท่านผู้หญิง วิระยา ชวกุล ขึ้นเวทีคนเสื้อแดง ให้ความมั่นใจกับพี่น้องคนเสื้อแดงที่เข้าร่วมชุมนุม และ ติดตามความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงอยู่ทางบ้าน เนื่องจากท่านผู้หญิง เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคคลบาท มานาน และ พี่น้องข้าราชการ ทหาร ตำรวจ จำนวนมาก มั่นใจว่า ท่านผู้หญิงเป็น ผู้จงรักภักดี และ ทรรศนะ ของท่านผู้หญิง วิระยา ได้ให้ความเชื่อมั่น กับพวกเราเต็มที่ และ รับประกันด้วยเกียรติ ของผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคคลบาท ว่า ท่านเชื่อมั่นในคนเสื้อแดง และ พวกเราคนเสื้อแดง เป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์



อย่างที่แกนนำเคยอธิบายให้ทุกท่านฟังแล้วว่า อำมาตย์ อยากจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และ รัฐบาลก็มีพฤติกรรมดึงสถาบันลงมาใช้เป็นเครื่องมืออยู่ตลอดเวลา คนเสื้อแดงมั่นใจได้เลยว่า หากพี่น้องประชาชนทราบความจริงแล้ว คนเหล่านี้ จะไม่มีแผ่นดินอยู่

สุดท้ายนี้ จะต้องย้ำให้ พี่น้องประชาชนทุกท่านได้เข้าใจว่า ทางออกสุดท้ายของรัฐบาล อภิสัตว์ คือ การประกาศ พรก. ฉุกเฉิน เพื่อที่จะใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุม แต่ อภิสัตว์ ไม่สามารถที่จะประกาศได้เลย หากไม่มีพี่น้องประชาชนคอยสนับสนุน ดังนั้น ความพยายามในการหาแนวร่วมภาคประชาชนของรัฐบาลชุดนี้ รับบาลที่ไม่มีผลงาน รัฐบาลที่บังคับใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐาน หนทางที่จะหาแนวร่วมได้เร็วที่สุด คือ การใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามว่า ไม่จงรักภักดี บิดเบือนข้อมูล อาศัยความศรัทธรา ที่ประชาชนมีต่อในหลวง แล้วเอาพลังนั้นมาทำลายศัตรูทางการเมือง

อภิสัตว์ ผู้ อำมหิต อาจจะกำลังหวังว่าจะสามารถ ดึงแนวร่วมภาคประชาชนให้มาเข่นฆ่าพี่น้องคนเสื้อแดง ให้ประชาชนฆ่ากันเอง แล้วใช้โอกาสนั้น ประกาศ พรก. ฉุกเฉิน เพื่อเข้าสลายการชุมนุม เราไม่ต้องสงสัยในความอำมหิต ของมัน เพราะเราได้ฟัง คลิปเสียงที่ อภิสัตว์ สั่งการ เมื่อ เมษายน ปี 52 มาแล้ว ดังนั้น

ทางออกสุดท้ายของมัน คือใช้เบื้องสูงเป็นเครื่องมือ ทำร้ายพี่น้องคนเสื้อแดงจริงๆ

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

อภิสิทธิ์ จะเป็นที่สุดของทรราช : Abhisit will be the Absolute Tyrant

วันที่คนเสื้อแดงไม่ได้รับคำตอบสำหรับข้อเรียกร้องในการยุบสภาฯ จาก นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชายไทยซึ่งหนีการเกณฑ์ทหาร และ นายกรัฐมนตรีผู้สั่งการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงทำร้ายประชาชนเมื่อ เมษายน ปี 52 ทรราชในคราบนักการเมืองรุ่นใหม่ ผู้เขียนเชื่อว่า ทรราชผู้นี้ ไม่กล้าที่จะให้องค์กรระหว่างประเทศตรวจสอบคลิปเสียงของตนแน่นอน


เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองในการยุบสภาฯ คืนอำนาจให้แก่ประชาชน แกนนำคนเสื้อแดงจึงมีความจำเป็นที่จะต้องยกระดับความเข็มข้นในการชุมนุมตามแนวทางสันติวิธี คือ ยอมสละเลือด และ รณรงค์ ให้ผู้ชุมนุมยอมสละเลือด เพื่อประท้วง เรียกร้องให้ นายกฯ ทรราช สมุนอำมาตย์ ชาติชั่ว ได้รับรู้ว่า ผู้ชุมนุมมีความจริงใจแค่ไหนที่จะเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องสิทธิในการชี้นำทิศทางการบริหารราชการแผ่นดิน

ทันทีที่แกนนำประกาศ ยกระดับการชุมนุมตามแนวทางสันติวิธี โดยการสละเลือด หนึ่งล้าน ซีซี แรก สมาชิกพรรคแมงสาป ก็ ออกมาแสดงความโง่ทันที เพื่อขู่ว่า การเจาะเลือดมีความเสี่ยงและ เป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น อาจจะติดไวรัส เอชไอวี หรือ ไวรัสตับ ได้ อีกทั้งยังได้มีการสั่งแพทย์สภาฯ ให้ออกมาเผยแพร่ข้อมูลในทำนองขัดขวางต่อต้านคนเสื้อแดง แทนที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้เป็นการสละเลือดตามหลัก สุขอนามัย รวมไปถึงลูกสมุนอำมาตย์ และ ข้าราชการที่ถูกบังคับ ให้ ออกมาพูดจาในทำนองข่มขู่ ว่ามีความเสี่ยงอย่างนั้นอย่างนี้ จะเป็นอันตรายอย่างนั้นอย่างนี้

แทนที่จะช่วยลดความเสี่ยงให้ประชาชนด้วยการสนับสนุนเครื่องไม้เครื่องมือ ดูแลความสะอาดให้ประชาชน รัฐบาลกลับมาแสดงออกในทำนองต่อต้าน ไม่ให้ความร่วมมือ

รัฐบาลยังไม่สำนึกว่า การที่ผู้ชุมนุมยอมเสี่ยง สละเลือด เผชิญอันตรายต่างๆนาๆ ที่ฝ่ายรัฐออกมาให้ข่าวข่มขู่นั้น เป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่น ความจริงใจ ความทุ่มเท เพื่อที่จะเสี่ยงชีวิต เรียกร้องให้รัฐบาลคืนอำนาจให้แก่ประชาชน ตามแนวทางสันติวิธี ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความใจแคบของรัฐบาลทรราชอภิสิทธิ์ชน สมุนอำมาตย์ชาติชั่วแล้ว ยังเป็นการกดดันที่ดีตามหลักสันติวิธี เพราะหลังจากที่แกนนำคนเสื้อแดงประกาศ สละเลือดตามแนวทางสันติวิธีแล้ว สื่อต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น CNN, Aljazeera, BBC, NHK, Straitstimes, CNBC, CCTV และ สื่อนานาชาติอีกมากมายที่กำลัง จับจ้องดู พฤติกรรม ทั้งฝั้งผู้ชุมนุม และ ฝั่ง รัฐบาล

คนเสื้อแดงกำลังสะกด โลกทั้งโลกให้ติดตาม ความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ที่ร่วมเรียกร้องให้ อภิสิทธิ์ นายกฯ ทรราช ประกาศยุบสภาฯ ตามแนวทางสันติวิธี ตามแนวทางเรียกร้องแบบอารยะชน

หาก อภิสิทธิ์ ยังไม่ยอมประกาศ ยุบสภาฯ ในวันนี้พรุ่งนี้ และ คนเสื้อแดงยังคงดำเนินการตามแนวทางสันติวิธี คงไม่มีคนไทยผู้มีจิตใจบริสุทธิ์คนใด ยินยอม ให้ อภิสิทธิ์ บริหารราชการแผ่นดินต่อไป

และ หากอภิสิทธิ์ ลงมือสั่งการใดๆที่เป็นอันตราย เหมือนเมื่อ เมษายน ปี 52 อภิสิทธิ์ ก็ คงหนีไม่พ้น ข้อครหา ทรราชแผ่นดิน ไปได้อย่างแน่นอน

อ้างอิง

Thai protesters threaten to throw blood at official buildings
http://www.cnn.com/2010/WORLD/asiapcf/03/15/thailand.government.protesters.blood/index.html

Thai PM rejects protest ultimatum
http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/8567406.stm

Thailand caught in protest standoff
http://english.aljazeera.net/news/asia-pacific/2010/03/201031571218216987.html

Thai demonstrators threaten escalation
http://www.nhk.or.jp/daily/english/15_10.html

'Red Shirts' collect own blood
http://www.straitstimes.com/BreakingNews/SEAsia/Story/STIStory_502679.html

Thailand Needs Period of Healing: Analyst
http://www.cnbc.com/id/15840232?video=1441133427&play=1

Red-shirts threaten to spill own blood
http://english.cctv.com/program/worldwidewatch/20100316/100938.shtml

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

เสียงลั่นกลองศึก ดังลั่นสนั่นฟ้า อำมาตยา สั่งมาร์คยุบสภาฯ เสียที

หลังจากที่ ไข่มุกดำ วีระ ได้ประกาศขีดเส้นตายให้ มาร์ค ยุบสภาภายในเที่ยงวันจันทร์ที่ 15 มีนาคม (วันนี้) เห็นได้ชัดว่าความหน้าด้านหน้าทนของมาร์คนั้น มีความหนากว่านักการเมืองที่มาร์ค เคยพูดออกจากปากเมื่อยามที่ตนเองเป็นฝ่ายค้านหลายล้านเท่านัก ผู้ชุมนุมจึงคาดการณ์ว่า อย่างไรเสีย มาร์ค คงจะไม่ยุบสภาง่ายๆ และก็เป็นที่น่าเชื่อว่า ถึงแม้นว่าตามตำแหน่งแล้ว นายกรัฐมนตรี มีอำนาจยุบสภาฯ แต่ในกรณีของมาร์คนั้น เป็นนายกที่ไม่สามารถใช้อำนาจ ยุบสภาฯได้เอง แต่ต้องรอรับความยินยอม อนุญาต จาก ป๋าเสียก่อน จึงจะยุบได้ เพราะถึงแม้นจะอยากยุบแค่ไหน ถ้าป๋าไม่ยอม ก็ ยุบไม่ได้

นปช. แดงทั้งแผ่นดินจึงจะเดินทางจากราชดำเนิน ไปที่ รบ. 11 สถานที่บริหารราชการชั่วคราวของนายกรัฐมนตรี สมุนอำมาตย์ หลายคนอาจจะมองว่า การเดินทางไปรอรับฟังคำตอบเรื่องการยุบสภาฯ นั้น คงจะเป็นกิจกรรมที่กดดันรัฐบาลได้ไม่มาก แต่ถ้าเรามองในภาพรวมแล้ว การเคลื่อนพลครั้งนี้ เป็นการกดดัน รัฐบาลอำมาตย์ที่จะสร้างยุทธศาสตร์ได้ดีทีเดียว

การเคลื่อนพลเรือนล้านนั้น เป็นการแสดงให้โลกทั้งโลกได้เห็นว่า คนจำนวนมากไม่พอใจ และไม่ยินดีที่จะปล่อยให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน บริหารราชการภายใต้การสั่งการของอำมาตย์ต่อไป

การเคลื่อนพลนั้นเป็นการรณรงค์ เพื่อเพิ่มแนวร่วมตามหลักสันติวิธี ประกอบกับการที่ รัฐนั้นมีช่องทางในการสื่อสารมากกว่าคนเสื้อแดง ดังนั้นการเคลื่อนพลรณรงค์ จึงจะช่วยดึงพื้นที่จากสื่อรัฐและสื่อกระแสหลักให้เพิ่มขึ้นได้บ้าง หากเจ้าของสื่อยังคงมีความยุติธรรมอยู่บ้าง

คลิปเสียงสั่งการให้ทหารตำรวจ สร้างสถานการณ์เมื่อเดือน เมษายน ปีที่แล้ว ได้ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงเป็นอย่างมาก ตราบใดที่ผู้ถูกกล่าวหา หรือ มาร์ค ยังไม่ได้ฟ้องร้องผู้เผยแพร่ ให้มีการพิสูจน์หลักฐาน อย่างเป็นกลาง ซึ่งผู้เขียนคาดว่า มาร์คคงจะไม่ฟ้องใครเพราะคลิปนั้น มาร์คไม่ยอมให้เฉลิมเปิดในสภาฯ

และเรื่องการกระทำผิดกฎหมาย ของกลุ่มคนที่สนับสนุนอำมาตย์นั้น ถูกเผยแพร่ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการเดินทางรณรงค์ รอบกรุงเทพฯนั้น ถึงแม้นว่ารถจะติด แต่พี่น้องประชาชนชาว กทม. ก็ คงจะสนับสนุนการชุมนุมเป็นอย่างดี แต่ก็อาจจะมีบ้างที่รัฐบาล และ อำมาตย์ ส่งลิ่วล้อมาป่วนการชุมนุม และ พยายามสร้างสถานการณ์เป็นระยะ

ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้าสู่อำนาจ การโกงกิน คอรัปชั่น จำนวนมากได้เกิดขึ้นแต่ด้วยความที่รัฐบาลใช้อำนาจเบ็ดเสร็จควบคุมสื่อ ทั้งสื่อรัฐและสื่อกระแสหลัก ทำให้เรื่องราวการโกงกิน คอรัปชั่น ทั้งจากนักการเมืองฝั่งรัฐบาล จากนายทุนสมุนอำมาตย์ ลิ่วล้ออำมาตย์ และ แม้แต่ตัวอำมาตย์เอง ไม่ได้ถูกเผยแพร่ ผ่านสื่อรัฐ และสื่อกระแสหลัก ตามสมควร แต่เป็นการเผยแพร่ไปในทำนองที่มองข้ามรายละเอียด แต่สื่อเหล่านั้นนำไปเชื่อมโยงให้เป็นเพียง การกล่าวหากันทางการเมืองทั่วไป

การลั่นกลองศึกเคลื่อนพล ไปไล่ นายกรัฐมนตรี เป็นหนทางที่จะทำให้บรรดาประชาชนที่ยังไม่ทราบความจริงได้ เริ่มติดตามความเคลื่อนไหวของข่าวสารที่เป็นกลาง และ ก็ จะเป็นอีกแรงผลักดันให้ สื่อกระแสหลัก เริ่มเจาะลึกในเรื่องข้อกล่าวหา ที่คนเสื้อแดงให้เหตุผลว่า ทำไม จึงไม่ยินดีและไม่ยินยอมให้รัฐบาล ชุดปัจจุบันบริหารราชการแผ่นดินต่อไป

และการเรียกร้องของคนเสื้อแดงนั้น ไม่ได้ เรียกร้องในสิ่งที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมอันดีงาม แต่เป็นการเรียกร้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตย ภายใต้แนวทางสันติวิธี

หลักการนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า รัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่ชอบธรรมที่จะได้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป มีการโกงกิน คอรัปชั่น ให้ประโยชน์พวกพ้อง บังคับใช้กฎหมายโดยไม่มีบรรทัดฐานระหว่างพวกพ้อง และ ผู้อื่น อีกทั้งยังได้มีการใช้อำนาจที่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง ครอบงำองค์กรอิสระ ไปจนถึงศาลอาญาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

การลั่นกลองศึกเคลื่อนพลตามแนวทางสันติวิธีครั้งนี้ จึงเป็นการกดดัน รัฐบาลอำมาตย์ และเป็นการเรียกร้อง รณรงค์ ให้สื่อกระแสหลัก และประชาชนที่ไม่ทราบความจริง ได้รับรู้และเข้าร่วมกับ พ่อแม่พี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตย กดดันและเรียกร้องอำนาจอธิปไตยให้กลับคืนสู่ประชาชน ให้ประชาชนตัดสินใจอีกครั้งว่าจะนำพาสังคมไทยและประเทศชาติไปในทิศทางใด

ผู้เขียนจึงขอเตือนใจ ให้ข้อคิด และ ขอร่วมกดดัน อำมาตย์ ตามแนวทางสันติวิธี ให้ออกคำสั่งตามที่ตนถนัด สั่งให้มาร์ค ยุบสภาฯ เสียที

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิถีแห่งสันติ วิถีคนเสื้อแดง คือ วิถีล้มอำมาตย์ คือ ๑๔ มีนา ที่โลกต้องจารึก

ถึงแม้นว่ารัฐบาลจะเตรียมตัวจัดกองกำลัง พร้อมปราบปรามประชาชน ถึงแม้นว่ารัฐบาลจะพยายามยั่วยุ สร้างเรื่อง และ ปล่อยข่าวให้ร้าย ทำลายความชอบธรรม ในการชุมนุมโดยสันติของบรรดามหาประชาชนคนเสื้อแดง แต่สิ่งที่รัฐบาลได้ทำ และกำลังจะกระทำ ได้ถูกคาดการณ์ไว้ในเบื้องต้นแล้ว วิชามาร ต่ำช้า ก้าวร้าว รุนแรง ที่รัฐบาล และ ผู้สนับสนุนสมุนอำมาตย์กำลังจะดำเนินการ เพื่อให้เกิดความรุนแรงนั้น ได้ถูกเปิดเผยจนเรียกได้ว่าเกือบจะทะลุปรุโปร่ง


เงียบสงบ สยบการเคลื่อนไหว จะถูกใช้ ในกรณีที่รัฐบาล และ สมุนอำมาตย์ชาติชั่ว กำลังจะสำแดงเพื่อยัวยุ อารมณ์ของประชาชนที่มาเรียกร้องประชาธิปไตย ความยุติธรรม

บรรดาแกนนำของคนเสื้อแดงได้ ทำความเข้าใจ และ แนะนำ ขอความร่วมมือ กับพี่น้องประชาชนผู้เข้าร่วมการชุมนุมมาโดยตลอด เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการชุมนุมแสดงออก และ เรียกร้องประชาธิปไตย ตามหลักสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ

เมื่อมือเปล่า มากกว่าล้านคู่ ชูขึ้นสู่ฟ้า โลกทั้งโลกจะเห็นว่า เรามาด้วยความ บริสุทธิ์ใจ ไม่ว่ารัฐบาล สมุนอำมาตย์ ชาติชั่วจะพยายามยั่วยุอย่างไร ประชาชนคนไทย จะให้การสนับสนุนผู้ชุมนุมแน่นอน

เมื่อคนมากกว่าล้านคนรวมตัวกันได้ ต่อให้อำมาตย์ และ รัฐบาลจะมีศาสตราวุธ ที่ทรงอานุภาพแค่ไหน ก็ไม่อาจต้านทานพลังประชาชนที่ร่วมใจเรียกร้อง ประชาธิปไตยตามหลักสากล ความยุติธรรม และ ความเท่าเทียมกัน

เมื่อการชุมนุมของประชาชน ร่วมเรียกร้องให้ รัฐบาลอำมาตย์ สละอำนาจ คืนสิทธิอันชอบธรรมให้แก่ประชาชนแล้ว ประชาชนก็มิได้ขัดขวาง ไม่ให้อำมาตย์ลงแข่งขัน ตามหลักประชาธิปไตย และเข้าสู่อำนาจตามครรลอง ดังนั้น การชุมนุมโดยสันติวิธี จึงเป็นการแสดงออกที่ทรงอานุภาพ เป็นการเรียกร้องเพื่อคืนอำนาจการตัดสินทิศทางสังคม และ ประเทศชาติ ให้กลับคืนสู่ประชาชน

พี่น้องที่เข้าร่วมชุมนุมจะต้องเผชิญกับความร้อนระอุ หรือฝนกระหน่ำ ความกดดันจากเจ้าหน้าที่รัฐ การข่มขู่จากสมุนลิ่วล้ออำมาตย์ และการใส่ร้ายป้ายสีจากนักการเมืองฝั่งรัฐบาล แต่พี่น้องคนเสื้อแดง จงอย่าลืมว่า หลักสันติเท่านั้นที่จะนำพาชัยชนะอันยั่งยืน มาให้เป็นของขวัญลูกหลานเราได้

ทั้งนี้ หลักการเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งประวัติศาสตร์นี้ ยืนอยู่บนกลักสันติ แต่ไม่ได้หมายความว่า ประชาชนคนเสื้อแดงจะยอมให้ สมุนอำมาตย์ชาติชั่วมารังแกกันได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นความพยายามยัดเยียดสิ่งผิดกฎหมาย หรือ การตั้งข้อหาเลื่อนลอย หรือ แม้แต่การใช้กำลังขัดขวางการแสดงออกอย่างสันติวิธี เหล่านี้ ผู้ชุมนุมมีสิทธิ์ และ ความชอบธรรมเต็มล้านที่จะป้องกันตัว บันทึกภาพ เสียง และ ความเคลื่อนไหวของผู้ไม่หวังดี

การจับผู้ก่อกวน ผู้ที่ประสงค์ร้าย ส่งเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ที่ยังมีความยุติธรรมอยู่ นั่นก็ เป็นส่วนหนึ่งของการชุมนุมโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ เช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ทำไมคนไทยทุกคนต้องออกมา


สิ่งที่ นีโอ อยากจะชี้แจงและเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนออกมาแสดงจุดยืน เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยให้เบ่งบานบนผืนแผ่นดินไทย ของพวกเรา ไม่ได้เป็นการเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนมาเข้าข้าง คนเสื้อแดง หรือ นีโอ ซึ่งเป็นคนเสื้อแดง ไม่ได้เรียกร้องเพื่อให้พรรคการเมืองใด ได้เปรียบฝ่ายตรงข้ามในทางการเมือง และแน่นอน ไม่ได้เรียกร้องให้ทุกคนมาทำ เพื่ออดีตนายกฯทักษิณ

ก่อนที่ นีโอ จะชี้แจงเชิญชวน นีโอ อยากจะอธิบายว่า ประชาชนไม่ต่ำกว่าล้านคนกำลังจะเดินทางมาชุมนุมกันในกรุงเทพมหานคร พวกเขาเดินทางมาใช้สิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญ เพื่อแสดงให้ผู้มีบารมี และผู้มีอำนาจ ในบ้านเมืองให้เห็นว่า ประชาธิปไตยของพวกเขาไม่ใช่ประชาธิปไตยหนึ่งนาทีในคูหาเลือกตั้งอย่างที่ชนชั้นสูง และ ผู้มีอำนาจได้ดูถูกกันเรื่อยมา

พี่น้องผู้มีอันจะกินจนวนมากก็เข้าร่วมการแสดงออกครั้งนี้เช่นกัน แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่เข้าใจ หรือ ไม่เคยรับทราบ หรือที่ตั้งใจเป็นพลังเงียบ เป็นพวกเสื้อขาว อยากให้ลองพิจารณา ว่าทิศทางของสังคมไทยหลังจากวันที่ สิบสี่ เป็นอนาคตสำหรับประชาชนคนไทยทุกคน

การแสดงออกของคนเสื้อแดงในครั้งนี้เป็นไปเพื่อประชาธิปไตย ความยุติธรรม ความเท่าเทียมกัน และ เพื่อลูกหลานของประชาชนคนชาติไทย ให้ได้มีอนาคตที่ไม่ถูกกดขี่ มีโอกาสที่จะได้อยู่อย่างสงบสันติ และการเรียกร้อง การแสดงออกในครั้งนี้ ทำไมท่านผู้อ่านซึ่งเป็นประชาชนคนไทย จึงต้องออกมา ทำไมท่านผู้อ่านซึ่งเป็นประชาชนคนไทย จึงต้องพิจารณาดังต่อไปนี้

ท่านพึงพอใจใน กฎหมาย สูงสุด ของแผ่นดินหรือไม่

ทุกท่านพอใจที่กฎหมายสูงสุดของแผ่นดินมอบอำนาจให้ประธานองคมนตรีสำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ ทุกท่านพอใจที่กฎหมายระบุว่าจะไม่เอาผิดผู้ที่ทำผิดกฎหมายเพื่อยึดอำนาจหรือไม่ ทุกท่านพอใจกับกฎหมายรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่ คนเสื้อแดงจะขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมเรียกร้อง ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้กฎหมายสูงสุดมาจากประชาชน เพื่อลูกหลานของท่าน

ท่านพึงพอใจในสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันหรือไม่

ทุกท่านมีความสุขดีบนความขัดแย้งในสังคมอย่างนี้หรือไม่ คนเสื้อแดงจะขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมเรียกร้อง ให้มีการคืนอำนาจให้แก่ประชาชน จัดการเลือกตั้งใหม่ และให้มีการแข่งขันอย่างยุติธรรม ให้ผู้แพ้ตามหลักประชาธิปไตย ยอมรับ และต่อสู้กันไปตามระบอบรัฐสภาฯ

ท่านอยากให้มีการนองเลือด ครั้งใหญ่ที่สุด เกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย หรือไม่

เพียงการเข้าร่วมการชุมนุม หากจำนวนประชาชนมีมาก ผู้ที่คิดใช้กำลังเข้าทำร้าย ประชาชน จะต้องคิดหนัก การตัดสินใจฆ่าประชาชน จะทำได้ยากกว่า ตัดสินใจได้ยากกว่า และแม้แต่เจ้าหน้าที่ผู้รับคำสั่งก็คงจะไม่กล้าลั่นไก มือที่สาม หรือ มือที่สี่ หรือ มือใดๆ ที่จ้องสร้างความปั่นป่วน จะถูกลดโอกาส จนถึงไร้โอกาสที่จะสร้างความรุนแรง

ทุกท่านมีส่วนร่วมในการสร้างประวัติศาสตร์การพัฒนาทางประชาธิปไตยที่เคยเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศทั่วโลกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ นีโอ จึงถือโอกาสนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ เพื่อเข้าร่วมแสดงออก เรียกร้องประชาธิปไตย ความยุติธรรม ความเท่าเทียมกัน และความสงบสุข สันติ ของแผ่นดิน ให้ยาวนานชั่วลูกหลานไทย

ทุกคนสำคัญ สำหรับอนาคตของชนชาติไทย

อำมาตย์ถือกระบอง สัญญาณความรุนแรงมาจากใคร


เมื่อคนเสื้อแดง แสดงจุดยืนภายใต้รัฐธรรมนูญ เพื่อทำการชุมนุมโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ แต่รัฐบาลกลับมีการสั่งการให้ทหารตำรวจเตรียมพร้อมรับมือความรุนแรง อีกทั้งรัฐบาลยังใช้อำนาจกดดันสื่อ ให้เผยแพร่ข้อมูลในทำนองที่จะลดความชอบธรรมของการชุมนุมอย่างสงบของคนเสื้อแดง

เริ่มตั้งแต่ เมษาเลือด ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน สื่อเหลือง และ สื่อรัฐ ได้มีการใส่ร้าย ใส่ความ การดำเนินการทางด้านการเมืองของประชาชนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นรถแก๊สที่ขู่ระเบิดแฟลตดินแดง รวมไปถึงการเผารถเมล์ ทุบรถนายกที่กระทรวงมหาดไทย การฆาตกรรม สองศพ ที่นางเลิ้ง โดยที่ไม่มีการดำเนินคดีใดๆ กับผู้ที่ก่อเหตุให้เกิดสถานการณ์เหล่านั้น ไม่มีการจับคนที่นำรถบรรทุกแก๊สมาจอด ไม่มีการแจ้งความจับบุคคลที่ก่อเหตุปล้นรถเมล์มากกว่า ห้าสิบคันเพื่อเผาทำลาย ในเขตพื้นที่ กทม. ไม่มีความพยายามค้นหาฆาตกรสองศพที่นางเลิ้ง

การลอบทำร้ายคนเสื้อแดง และ การเกณฑ์ คนมาใส่เสื้อน้ำเงิน เพื่อปะทะกับคนเสื้อแดงที่พัทยา ก็ เช่นกัน และ ยังไม่ได้รวมไปถึง การยิงมัสยิด และ การลอบทำร้ายคนเสื้อแดงบนถนนเพชรบุรี

สิ่งที่รัฐบาลทำคือ เผยแพร่ข่าวสารด้านเดียวตลอดมา เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า นั่นเป็นการกระทำของคนเสื้อแดง แต่ ไม่มีการดำเนินคดี

การชุมนุมครั้งนี้ก็เช่นกัน ทุกครั้งที่คนเสื้อแดงประกาศจะจัดการชุมนุมในเขต กรุงเทพมหานคร รัฐบาลได้ประกาศ กฎหมายมั่นคง ทุกครั้ง

สิ่งที่ประชาชนรู้สึกได้ คือ สื่อกระแสหลัก สื่อรัฐ และ สื่อเหลือง โหมประโคมข่าว ชี้นำ ยัดเยียด ให้ประชาชนทั่วไปรับทราบว่า จะต้องเกิดความรุนแรงขึ้นในการชุมนุมของคนเสื้อแดง คนเสื้อแดงจะต้องทำเรื่องเลวร้ายแน่นอน คนเสื้อแดงไม่ใช่คนดีที่ทำเพื่อประชาธิปไตย บ้างก็กล่าวหาว่า คนเสื้อแดงนั้นทำเพื่อเงิน ทำเพื่อทักษิณ

กลับกัน รัฐบาลไม่มีพื้นที่บนสื่อรัฐ และ สื่อกระแสหลัก ให้แก่คนเสื้อแดง แต่อย่างใด รัฐบาลเพิ่มพื้นที่สื่อให้ ปฏิปักษ์ทางการเมืองของคนเสื้อแดงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่สนใจข้อคัดค้านแต่อย่างใด และชัดเจนที่สุดว่า รัฐบาล มีความพยายาม และ ความพร้อม ที่จะเข้าปิดกั้น ทำลาย และ ขัดขวาง การสื่อสารของคนเสื้อแดง ได้ทันทีที่มีคำสั่ง

การปล่อยข่าว ของนักการเมือง ฝ่ายรัฐบาล ก็ชัดเจน เริ่มตั้งแต่ รองนายกฯ ซึ่งไม่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเคยทำความดีงามใดๆให้แก่สังคมไทย อย่างเทพเทือกนั้น ก็ออกมาใส่ความคนเสื้อแดงเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปาระเบิด การก่อวินาศกรรมให้เกิดแก่สาธารณะสมบัติ และก็มีการรับลูก ผสมโรงกันอย่างเอิกเกริก ไม่ว่าจะเป็นทีมโฆษกรัฐ และ โฆษกพรรคฝ่ายรัฐบาล ที่รวมกันแล้วสามารถตั้งทีมฟุตบอลเตะกันเองได้ ออกมาใส่ร้ายใส่ความ คนเสื้อแดงไม่เว้นวันหยุดราชการ


ล่าสุด ยังใช้อำนาจรัฐ ลงไปปลุกระดมประชาชนในพื้นที่ กรุงเทพฯ ให้เข้าใจว่า คนเสื้อแดงจะมาก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่ชุมชน และที่ให้อภัยไม่ได้แต่ รัฐบาลยังคงปล่อยให้มีเหตุการณ์ ใส่ร้าย คนเสื้อแดงโดยการดึงเบื้องสูงลงมาใส่ร้ายคนเสื้อแดง โดยตลอด

รัฐ ไม่เปิดโอกาสให้ ตัวแทนของคนเสื้อแดง ชี้แจงผ่านสื่อรัฐ และ สื่อกระแสหลัก ว่าจุดมุ่งหมายของคนเสื้อแดงคืออะไร และจะมีกิจกรรมอะไร รัฐเอาแต่ใส่ร้าย และ สรุปเบ็ดเสร็จเผด็จการ ว่าคนเสื้อแดงนั้นอันตราย แต่ รัฐบาลพร้อมที่จะควบคุม ปราบปราม

การส่งทหารลงพื้นที่ล่วงหน้า สองถึงสามสัปดาห์ การให้ข่าวด้านเดียวในเชิงยั่วยุ ดูถูก ผู้ชุมนุม ประกอบกับ การออกกฎหมายควบคุม ลิดรอน สิทธิของประชาชน การควบคุมสื่อแบบเบ็ดเสร็จ เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลมีความพยายาม และความต้องการที่จะ ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง

รัฐบาลชุดปัจจุบัน หนีไม่พ้นสัญลักษณ์แห่งเผด็จการ ในสายตาของประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะเป็นที่มาของรัฐบาลชุดนี้ ตั้งแต่การตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร การบังคับใช้กฎหมายของคณะปฏิวัติรัฐประหาร การบังคับใช้กฎหมายสองมาตรฐาน การแสดงทัศนคติดูถูกประชาชน ไม่เคารพการตัดสินใจในทิศทางของสังคมโดยคนส่วนใหญ่ การใส่ร้ายภาคประชาชน ในเรื่องล้มจ้าว การควบคุมสื่อ

สัญญาณ ที่ชี้ให้เห็นถึงประเด็นความขัดแย้งจนอาจก่อให้เกิดความรุนแรงถึงขั้นเสียเลือดเนื้อของประชาชนคนไทย มาจากฟากรัฐบาลแทบทั้งสิ้น

รัฐบาล และ อำมาตย์ คงจะลืมไปว่า ตนเองและพวกพ้องนั้น มีการทุจริตโครงการรัฐ มีการทุจริตที่ดินสาธารณะ ไม่มีความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม มีแต่ความพร้อม และ รังสีอำมหิต ที่แสดงเป็นสัญญาณออกมาว่า รัฐบาลอำมาตย์ พร้อมแล้ว ที่จะทุบ ทำร้าย ประชาชนคนเสื้อแดงโดยไม่เลือกวิธีการ

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

อีกมุมมองในสงครามสื่อ รัฐบาลอภิสิทธิ คือโจรชิงตัวประกัน

เป็นที่เห็นกันชัดเจนทั่วไปว่ารัฐบาลอำมาตย์ ชาติชั่ว นั้นได้เปรียบ คนเสื้อแดงในด้านช่องทางการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นสื่อรัฐ หรือ สื่อกระแสหลักต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และ สื่อยุคใหม่อย่างอินเตอร์เนต ช่องทางการสื่อสารด้านเดียวที่รัฐบาลยัดเยียดให้แก่ประชาชนนั้น ไม่มีพื้นที่ให้ประชาชนที่คิดต่าง ได้ออกความคิดเห็นกันอย่างเพียงพอ ไม่มีทางเลือกของสาร หรือ ข้อความจากฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาล ให้ประชาชนได้รับฟังทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน

การสื่อสารถูกควบคุมโดยรัฐ อย่างเห็นได้ชัด ความคิดเห็นคัดค้านไม่มีลู่ทางออก ให้ประชาชนได้รับทราบ

วันนี้ท่านผู้อ่านคงจะเห็นว่า คนเสื้อแดงได้ประกาศว่าจะเข้ามาชุมนุมใน กทม. ตั้งแต่วันที่ 25 กพ. 2553 และ กว่าจะถึงวันชุมนุม ก็ ทิ้งระยะไม่น้อยกว่า 15 วัน แต่ด้วยกลอุบายเพื่อ สร้างความขัดแย้งในสังคมที่รัฐพยายามกระทำอยู่นั้น ประชาชนเค้าเห็นกันชัดเจน


รัฐบาลพยายามใช้สื่อกระแสหลัก และ สื่อรัฐ โหมกระแส จับตัวนักเรียนในสังกัด กทม. และ นักเรียน ในสังกัดกระทรวงศึกษาบางสถาบัน เป็นตัวประกัน เพื่อให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ของนักเรียนเหล่านั้นรู้สึกเดือดร้อนจนต้องออกมา กดดัน ลดความชอบธรรมในการชุมนุมของคนเสื้อแดง

รัฐบาลกำลังพยายามสร้างความขัดแย้งในสังคม โดยอาศัยสื่อในสังกัด และ บีบสื่อกระแสหลักว่า นักเรียนจำนวนมาก ต้องเลื่อนสอบให้เร็วขึ้น หรือ เลื่อนการสมัครเข้าเรียนออกไป

ทั้งนี้ รัฐบาลไม่มีทีท่าที่จะชี้แจงให้ประชาชนทั่วไปทราบว่า สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ ใน กทม. และ ปริมณฑล ต่างอยู่ในช่วงปิดเทอมกันแล้ว อีกทั้งรัฐบาลยังโหมประโคมข่าวว่า นักเรียน ในสังกัด กทม. กำลังเดือดร้อนเนื่องจากคนเสื้อแดง เพื่อจะกลบข่าว ที่ทาง สหพันธ์นิสิตนักศึกษาภาคอีสาน (สนนอ.) ร่วมกับสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ และนำรัฐธรรมนูญ 40 กลับมาใช้ พร้อมทั้งยุติการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานทางการเมืองของประชาชน โดยคัดค้านการประกาศ พรบ. มั่นคง และกฎหมายมั่นคง อื่นๆ

ภาษาชาวบ้านเข้าใจง่ายๆ คือ รัฐบาลจับเด็กเป็นตัวประกัน แล้วใส่ร้ายคนเสื้อแดงเพื่อกลบข่าว สหพันธ์นักศึกษาออกมาเรียกร้องคัดค้าน รัฐบาล

หรือว่าไม่จริง หือ ???? ไอ้มาร์ค ไอ้เตี้ยหนองเตย ไอ้เทือก หรือว่าไม่จริง?

รัฐมีพื้นที่ในทีวี หลายช่องกว่า มีสถานีวิทยุมากกว่า แถมยังสามารถ คุมหนังสือพิมพ์ สั่งปิดสถานีวิทยุ บล็อกเวปไซท์ ของคนเสื้อแดงได้อีก ตามอำเภอใจ โดยไม่ต้องแสดงหลักฐานว่า สื่อเหล่านั้นทำผิดกฎหมายข้อใด

ประชาชนไม่สามารถจะสรุปว่าอะไรได้ นอกจาก จะบอกว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ คือโจรชิงตัวประกัน เพื่อยืดเวลาในการครองอำนาจ คอยเอาใจ อำมาตย์ ขันที ต่อไป

เผด็จการยุติธรรมอย่างไร ไอ้ชาติหมา


หลังจากผ่านไปแค่เพียงสี่วัน แมงสาปพันธ์โย่งหัวเน่าก็เปิดใจเป็นคนแรก คงกะจะฟัน คอมมิสชั่นจากเงินที่ปล้นทักษิณมา กว่าสี่หมื่นล้าน แมงสาปพันธ์โย่ง คงระรี้ระริก จนตัวสั่น กะจะฟันสองต่อ ทั้งเงินสินบนนำจับที่พวกชั่วตั้งไว้ และ ความดีความชอบจากการเลีย eggs อำมาตย์ชาติชั่ว

โย่งพยายามสร้างภาพว่าตัวนั้นสะอาดปราศจากพิษภัย หารู้ไม่ว่าพี่น้องประชาชนเค้ารังเกียจแค่ไหน แมงสาปอย่างโย่ง จะไปอาบน้ำฆ่าเชื้อ อบผิว ทำสปา มาอย่างไร ถ้าวิ่งผ่านพี่น้องไปคงไม่เสียแรงกระทืบติดดิน เพราะจะเปื้อนรองเท้าเอา

แมงสาปช่วยกันสร้างภาพว่าได้เป็น รมต. คลังโลก บ้าอะไร ดูๆไปก็ ผู้เข้าประกวดมีแต่ลูกหนี้ไอเอ็มเอฟทั้งนั้นหรือปล่าว

โย่ง ถามว่า ถ้าไม่มีการปฏิวัติในปี ‘49 และไม่มี คตส. เราจะเห็นความยุติธรรมปรากฏ ในคดีนี้หรือไม่?

คำตอบง่ายๆว่า เพราะปฏิวัติปี 49 และ คตส. นี่แหละที่ทำให้เกิดความอยุติธรรม และ สองมาตรฐานขึ้นบนแผ่นดินไทย โดยเฉพาะ แมงสาปอย่างโย่งนี่แหละที่ หลับหูหลับตาเชลีย จนพื้นฐานของความสถิตยุติธรรมบนแผ่นดินไทยต้องลมลงจนยากจะเยียวยา

บนพื้นฐานของการปฏิวัติ ก็ โย่งเองนั่นแหละที่ได้ผลประโยชน์ จนได้เป็นถึงรัฐมนตรี หากไม่มีปฏิวัติ ชาตินี้แมงสาปพันธ์โย่งอย่างเอ็งก็คง ไม่มีทางได้เป็น รมต. แน่นอน

โย่งยังมีอคติ มาตั้งคำถามดูถูกประชาชนที่ว่า
คนไทยจำนวนมาก จริงๆ แล้วไม่ให้ความสำคัญกับความถูกต้อง ขอให้ค้าขายได้ อยู่ดีกินดี ใครจะทำอะไรก็ช่าง แล้วความคิดเช่นนี้ผิดหรือ?

โย่งคงไม่รู้ใช่ไหม ว่า บิดา มารดา ญาติพี่น้อง เค้าจะต้อง อาย ขายขี้หน้าแค่ไหน ที่โย่งออกมาแสดงจุดยืนดูถูก ดูแคลนประชาชนเช่นนี้ หรือว่ามันเป็น ทัศนคติ บิดา มารดา โย่งสั่งสอนมา แบบนี้

การที่โย่งมีจุดยืน เข้าข้างคนที่ทำผิดกฎหมาย ทำร้ายประเทศ ฉีกรัฐธรรมนูญ มาตัดสินชีวิตของผู้อื่นนั้น มันเป็นการแสดงออกว่า โย่งเอง ไม่ให้ความสำคัญกับความถูกต้อง ขอให้เป็นรัฐมนตรี อยู่ได้ใครจะทำอะไรก็ช่าง แล้วความคิดเช่นนี้ ก็ ผิด ชัดเจน

สุดท้ายโย่ง ยังมาย้ำ จุดยืนแสดงออกถึงความโลภ แค้น อคติ ใจแคบ เห็นแก่ตัว หน้าด้าน และ แสดงความโง่ อันสุดจะบรรยายได้ว่า ถ้าเป็นผม ผมคงยึดหมดทั้ง 76,000 ล้านบาทแล้วครับ เพราะผมคิดง่ายๆ มาตลอดว่า""ถ้าเพียงยึด “ส่วนเกิน” ก็หมายความว่า ทักษิณโกงแล้ว “เท่าทุน”

มุมมองที่โย่งแสดงความเคารพ ต่อคำตัดสิน ที่ใช้กฎของเผด็จการ ซึ่งใช้กำลังยึดอำนาจมาตัดสินศัตรูทางการเมือง ไม่ต่างอะไรกับ หมาตัวใหญ่ที่มาแย่ง ลูกชิ้นปิ้ง ที่เด็กนักเรียนอนุบาลผู้บริสุทธิ ถืออยู่ในมือ
นี่คือความ ยุติธรรมของเผด็จการ ใช่ หรือ ไม่ ไอ้ชาติหมา