วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

ปฏิบัติการอำมหิต ขอคืนพื้นที่: ตอน สังเวย “บูรพาพยัคฆ์”

รัฐบาลภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำซึ่งไร้สำนึกในความรับผิดชอบ ยากที่จะแยกแยะชั่วดี ได้เริ่มเปิดฉาก ปฏิบัติการที่ตั้งชื่อสวยหรูว่า ปฏิบัติการขอพื้นที่คืน แต่ ไม่ว่าจะตั้งชื่อไพเราะสวยหรูเพียงใด ก็ไม่สามารถปกปิดความรุนแรงที่เกิดขึ้นในคำสั่งสลายการชุมนุมครั้งนี้ได้

เริ่มต้นที่ เวลาบ่ายโมง วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 ทหารภายใต้การนำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เริ่มระดมยิงแก๊ซน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมที่บริเวณราชดำเนิน โดยมีเป้าหมายเพื่อสลายการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชน จนเกิดการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ระหว่างผู้ชุมนุมกับทหาร

เวลา สี่โมงเย็น จนถึง ห้าโมงเย็น เริ่มมีรายงานประชาชนได้รับบาดเจ็บจาก อาวุธสงคราม เป็นแผลกระสุนซึ่งมีทางเข้าเล็ก แต่ทางออกของกระสุนใหญ่เท่าลูกปิงปอง คาดว่าเป็นอาวุธปืน เอ็มสิบหก [M16] มีผู้บาดเจ็บหลายรายจากอาวุธสงครามทั้งกระสุนจริงและกระสุนยาง แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถสลายการชุมนุมได้สำเร็จ


รัฐบาลสั่งการโจมตีเพื่อสลายการชุมนุมทางอากาศเมื่อเวลาประมาณ หกโมงเย็น โดยใช้เฮลิคอปเตอร์ ทิ้งระเบิดแก๊สน้ำตาลงกลางฝูงชนที่สะพานผ่านฟ้าไปจนถึงเวทีปราศรัย ผู้ชุมนุมตอบโต้กลับด้วยการปล่อยลูกโป่งสวรรค์ และ โคมลอยสำหรับเทศกาลสงกรานต์ ทั้งนี้มีรายงานว่า ผู้ชุมนุมที่ทนเห็นพี่น้องประชาชน ดมแก๊สน้ำตาไม่ไหว ได้ใช้อาวุธปืน ยิงขู่เฮลิคอปเตอร์

มีรายงานว่าผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่นเสียชีวิต จากกระสุนจริง หลังจากที่รัฐบาลสั่งการสลายการชุมนุมต่อเนื่องตอนประมาณสองทุ่มกว่าๆ มีประชาชนเสียชีวิตจากอาวุธสงคราม ทั้งที่หน้าอกและศีรษะ ที่พื้นที่สี่แยกคอกวัว

ทหารเคลื่อนไหวกดดันต่อเนื่อง จนมีรายงานผู้บาดเจ็บกว่าร้อยคน และมีรายงานผู้เสียชีวิตเกิน เจ็ดคนในขณะนั้น รัฐบาลยังคงคำสั่งเร่งรุก กดดัน จนเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง

ทหารสายบูรพาพยัคฆ์ นำโดย พล ต. วลิต โรจนภักดี, พ.ท. เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช และ พ. อ. ร่มเกล้า ธุวธรรม ถูกโจมตีด้วยอาวุธสงคราม เอ็มเจ็ดสิบเก้า [M79] ทำให้ นายพล วลิต ขาหักสามท่อน จนอาจจะต้องตัดขา ส่วน พันโท เกรียงศักดิ์ ต้องผ่าตัดสมองเอาสะเก็ดระเบิดออก ในขณะที่ ดาวรุ่งสายบูรพาพยัคฆ์ อย่าง พันเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม ต้องจบชีวิตลง ถึงแม้นว่าจะเปรียบเทียบไม่ได้กับ 20 ศพ และ ผู้บาดเจ็บกว่า 800 ราย แต่นัยยะสำคัญ ของความสูญเสียนี้ คือ ทหารตัดสินใจจะไม่ดำเนินการสลายการชุมนุมอีกต่อไป

ไม่ว่าจะเป็น พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว. กลาโหม, พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ. ทบ, พลเอก ประยุทธิ์ จันทร์โอชา ว่าที่ ผบ. ทบ., พลโท คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 รอคิว ผบ. ทบ. ต่อจาก พลเอกประยุทธิ์ และ สุดท้าย พลตรี วลิต โรจนภักดี ผู้กลายเป็นทหารขาพิการไปเสียแล้ว บรรดารายชื่อในบทความนี้ล้วนเป็น สายตรง นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา หรือ ป๋า ของเราทั้งสิ้น เหล่าบรรดา บูรพาพยัคฆ์ผู้ครองอำนาจในกองทัพบกมาเป็นเวลายาวนาน กำลังจะได้รับ ผลตอบแทน จากการตัดสินใจรับฟังคำสั่งรัฐบาลอำมาตย์

ไม่จำเป็นที่จะต้องมีหลักฐานยืนยัน ก็ เชื่อได้ว่า ลูกป๋าเท่านั้นจึงจะได้เป็นใหญ่ในกองทัพบก

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการสลายการชุมนุมจนมีประชาชนเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง คือ มีมือที่สาม ที่รัฐบาลกล่าวอ้าง หรือ มีนักรบโรนินที่ เสธ แดง กล่าวอ้าง หรือ ทหารแตงโม ตามที่จตุพรกล่าวอ้าง ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ทหารเหล่านี้ ทนไม่ได้ ที่รัฐบาลยังคงคำสั่งสลายการชุมนุมต่อเนื่องแม้นว่าจะมืดค่ำแล้วก็ตาม ทหารเหล่านี้ทนไม่ได้ที่มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ เสียชีวิตไปแล้วนับสิบ และ บาดเจ็บหลายร้อย

การตัดสินใจเอาคืนแทนพี่น้องประชาชนครั้งนี้ เชื่อเหลือเกินว่า หาก บูรพาพยัคฆ์ ยังคงรับคำสั่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ต่อไป ก็คงจะต้องถึงจุดจบไปในเวลาอันรวดเร็ว

หากบูรพาพยัคฆ์ ยังอยากมีที่ยืนอยู่ในกองทัพไทย ก็ต้องหยุด หยุดช่วยรัฐบาลกระทำการอำมหิต คิดสลายการชุมนุมของประชาชน แล้วปล่อยให้ การเมืองสู้กันทางการเมืองถ้าจะให้ดี

บูรพาพยัคฆ์ เดินไปกระซิบมาร์ค บอกให้ ยุบสภาทันที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น