วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อย่ากลัวความจริง หรือ จะไม่เชื่อ ในสิ่งที่ ศอฉ. บังคับให้เชื่อ


ข้อสงสัยและข้อครหา มากมายที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ นาย อภิสิทธิ เวชชาชีวะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวงกว้าง ทั้งเรื่องของ ปฏิบัติการทางทหารที่เกินจำเป็น รวมไปถึง ท่าที และ ความผิดพลาดจากการสั่งการที่เกี่ยวข้องกับการยุติการชุมนุมของ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน

รัฐบาลอภิสิทธิ ที่ปกครองจนมีผู้ที่มาขับไล่ตนเอง ต้องเสียชีวิต เกือบร้อยคน และ บาดเจ็บ กว่า สองพันคนนั้นจะมีหนทางแก้ปัญหา หรือเยียวยา อย่างไร ให้สังคมไทยกลับคืนสู่ความสงบสุข และ ขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพราะชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลเป็นคู่กรณีโดยตรง


ข้อเท็จจริงที่ทหาร ใช้อาวุธสงครามพร้อมกระสุนจริงยิงใส่ประชาชน ทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรง และ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง จนก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตประชาชน

ข้อเท็จจริงที่รัฐบาล ตัดสินใจไม่ยอม ให้มีการยุติการชุมนุมด้วยการ เจรจา แต่ตัดสินใจยุติการชุมนุมด้วยปฏิบัติการทางการทหาร

ข้อเท็จจริงที่รัฐบาลรู้ดีว่า ผลจากการใช้กำลังทหารจะตามมาซึ่งความเสียหาย และสูญเสีย ต่อทรัพย์สิน ต่างๆในบริเวณที่ใช้ปฏิบัติการทางทหาร

ข้อเท็จจริงที่รัฐบาล โดยเฉพาะ ศอฉ. ได้ปิดบัง บิดเบือน สื่อ โดยใช้อำนาจรัฐ ในการเผยแพร่สื่อ ด้านเดียว ไม่มีพื้นที่สื่อให้ผู้ชุมนุม และ ได้ใช้อำนาจผ่าน ศอฉ. กล่าวร้ายป้ายสี ผู้ชุมนุม โดยมิรู้จักแยกแยะชั่วดี

ข้อเท็จจริงหลายประการที่มิอาจ เผยแพร่ผ่านสื่อกระแสหลัก และ แม้แต่สื่อกระบอกเสียงของประชาชน รัฐบาลไม่มีท่าทีที่จะรับผิดชอบ โดยมีความพยายามที่จะโยนความผิดทั้งหมดไปให้ผู้ชุมนุมที่ รัฐบาล กล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย

ข้อเท็จจริง ที่ผู้ตายเกือบทั้งหมด ยกเว้นทหาร เป็นประชาชนคนธรรมดา ที่ทำความผิดโทษฐานเอาศีรษะไปรับกระสุน ของ ศอฉ.


ประหนึ่งว่า ความสูญเสียต่อตึกรามบ้านช่อง นั้นให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาล ในการลงมือสังหารประชาชน

ประหนึ่งว่า ประชาชนส่วนหนึ่งเรียกร้องให้ใช้การปราบปราม นั้นให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาล ในการลงมือสังหารประชาชน

ประหนึ่งว่า ความจน ความไร้ซึ่งอุดมการณ์ ความโง่ ของประชาชนผู้ชุมนุม นั้นให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาล ในการลงมือสังหารประชาชน

ประหนึ่งว่า อำนาจรัฐที่รัฐบาลมี ภายใต้กฎหมายพิเศษ นั้นให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาล ในการลงมือสังหารประชาชน


รัฐบาลนั้นมีความรับผิดชอบ ในทุกแง่มุมต่อความสูญเสียทุกประการ ทั้ง จากความผิดพลาด และ ความตั้งใจ ในการสั่งการของรัฐบาลเอง และ ไม่ว่ารัฐบาลจะแสดงละคร บีบน้ำตา ขอความสงสารเก่งแค่ไหน รัฐบาลก็หนีไม่พ้นความรับผิดชอบเหล่านี้

วันนี้ ประชาชนคนไทย มีสิทธิ และ ความชอบธรรม เต็มที่ ที่จะเรียกร้องให้ รัฐบาล โดยเฉพาะ นายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ลาออก จากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดจากความผิดพลาดของฝ่ายรัฐ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

อย่ากลัวที่จะเชื่อว่า รัฐบาล ได้ตัดสินใจผิดพลาด จนเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสีย

อย่ากลัวที่จะเชื่อ ศอฉ. ว่าสิ่งที่ ศอฉ. อ้างนั้น เป็นการปกปิด บิดเบือน ความจริง

อย่ากลัวที่จะเชื่อว่า ประชาชน สามารถ ยุติความขัดแย้งของสังคมได้ตามหลัก ประชาธิปไตยที่แท้จริง

เราเป็นใครบนแผ่นดินไทย???


รัฐบาลบอกว่า พวกเราเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นขบวนการล้มเจ้า “เราบอกว่า ไม่ใช่”

รัฐบาลบอกว่า พวกเรามันคนไร้การศึกษา เรามันพวกไร้อุดมการณ์ “เราบอกว่า ไม่ใช่”

รัฐบาลบอกว่า พวกเรามันเห็นแก่ตัว เรามันรับจ้างเขามา ว่าพวกเราถูกซื้อ
“เราบอกว่า ไม่ใช่”

พี่น้องประชาชนบอกว่าเราเป็น ประชาชนคนไทย ที่จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง เรามาเพื่ออุดมการณ์แห่งประชาธิปไตย เรามาเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาฯ เรามาแสดงให้เห็นว่าเรามาด้วยอุดมการณ์ เราตัดสินใจด้วยตัวของเรา และ รัฐบาลควรจะเคารพเคารพในการตัดสินใจของพวกเรา

รัฐบาลทรราชและลิ่วล้อผู้สนับสนุน อย่าได้บังอาจ มาดูถูกเหยียบย่ำ น้ำใจของพวกเรา ในสายตาของพวกท่าน เราอาจจะโง่ เราอาจจะจน เราอาจจะไร้การศึกษา แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านควรเคารพ ไม่มาดูถูกเหยียดหยามคือ ความจริงที่พวกเราส่วนใหญ่สามารถที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดี และ พวกเราส่วนใหญ่ยึดถือแนวทางสันติวิธี และมั่นคงในความดีงาม ตามหลักศาสนา

รัฐบาลใส่ใจกับอาคาร คอนกรีต และ ชื่อเสียงหน้าตาของตน ที่ไหม้ไปพร้อมกับไฟ มากกว่า แปดสิบชีวิตที่สูญสิ้นไป

เราอาจจะไม่มีคุณค่า ในสายตาของรัฐบาล แต่ รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิ ที่จะมาใช้กำลัง ใช้อำนาจ บีบบังคับให้พวกเรายอมรับในสิ่งผิดๆ ที่รัฐบาลทำ รัฐบาลไม่มีสิทธิที่จะมาจำกัด กำจัด สิทธิของพวกเราที่คิดจ่างจากรัฐบาล และที่สำคัญ รัฐบาลไม่มีสิทธิที่จะมาคร่าชีวิตของพี่น้องประชาชนเพื่ออำนาจของตน

วันนี้เราเห็นชัดๆว่า รัฐบาลกำลังกระทำการทุกวิถีทาง ให้พวกเรากลายเป็นความชั่วร้าย ความไร้ค่า และ ศัตรูของประเทศชาติ ในสายตาคนทั่วไปที่ไม่ใส่ใจการเมือง

เราไม่กลัวในสิ่งที่รัฐบาลกล่าวหา เราแค่ต้องการพื้นที่ที่จะต้องอธิบายให้สังคมได้รับรู้ รัฐบาลต้องให้ชาวนาหลายพัน หลายหมื่นคน รวมตัวกันมาถึงจะรับฟัง ในขณะที่พ่อค้าคนกลางไม่ถึงสิบคนรวมตัวกัน รัฐบาลก็ฟังแล้ว

เราต้องรวมตัวกันมาเป็นหมื่นเป็นแสน เพื่อเรียกร้องให้ยุบสภาฯ แต่รัฐบาลก็แค่ฟัง ในขณะที่รัฐบาลเอาพวกพ้องของตัวเองมารวมตัวกันไม่กี่พัน แล้วก็ตัดสินใจเลยว่า มีผู้คัดค้าน เพราะฉะนั้น ไม่ยุบสภาฯ

เราไม่แน่ใจว่ารับบาลจะรู้ตัวหรือไม่ ว่า กำลังจะผลักพวกเราไปเป็นศัตรูที่จะอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันไม่ได้ หรือว่า รัฐบาลรู้อยู่แล้ว แต่รัฐบาลมั่นใจว่าจะกำจัดพวกเราให้หมดไปได้ อันนี้เราไม่แน่ใจ

รัฐบาลจะละลายความโกรธ ความเสียใจ ความแค้น ในจิตใจ ของเพื่อนๆ ญาติ พี่น้อง ลูกเมีย หัวหน้าลูกน้อง ของผู้สูญเสียและบาดเจ็บ กว่า สองพันชีวิตอย่างไร เท่าที่เห็น รัฐบาลยังปล่อยให้พวกพ้องออกสื่อโจมตีขบวนการประชาชนรายวัน ทำทุกวิถีทางที่จะให้ขบวนการเพื่อประชาธิปไตย เป็นโจร เป็นผู้ร้าย

วันนี้ เราต้องถามตัวเองว่าเราเป็นใครบนแผ่นดินไทย

เราเป็นทาสใต้การปกครองของรัฐบาลอำมาตย์ หรือไม่ใช่

เราจะยืนยันต่อสู้เพื่อสิทธิ และ ความชอบธรรมสำหรับ การตัดสินใจของเราเอง หรือไม่

หรือว่า เราพอใจ ที่จะให้มีคนฉลาดๆ อย่างรัฐบาลชุดปัจจุบัน คอยชี้นำ ชักจูง ให้เราเดินไปาลอำมาตย์ หรือไม่ใช่
หากเรายังเป็นตัวของเราเองแล้ว เราต้องยืนหยัดอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล แล้ว ต่อสู้ต่อไป เราต้องทำความเข้าใจ ในความไม่ชอบธรรมต่างๆ ของรัฐบาลปัจจุบันให้ลึกซึ้ง ใช้แนวทางสันติวิธีชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริง และ เหตุผลเบื้องหลังที่เราต่อสู้เพื่อ ประเทศชาติ และ ประชาธิปไตยออกไป ให้กว้างและลึกซึ้ง

คนเราเลือกประเทศเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศของเราให้ดีขึ้นได้ แน่นอน

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รัฐบาลทรราช: ประชาชนไล่คุณไม่ได้ แต่เขาเกลียดคุณมากขึ้นได้





มีพยานอย่างน้อยสองคน ที่กล้าชี้แจงว่ามี ทหาร ยิงเข้ามาในวัด ผมไม่อยากจะเชื่อ แต่ผมก็ไม่สามารถคัดค้านได้ ในเมื่อฝรั่งที่โดนยิงขา ถูกยิงมาจากทางแนวของทหารไทย ผมไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์อะไรที่นักข่าวฝรั่งจะต้องโกหก เขายืนยันว่าทหารยิงเข้ามาในวัดจริงๆ

ผมเห็นสื่อ ต่างๆยังคงมองข้ามความสำคัญของ 85 ศพ รัฐบาลไม่ได้พูดถึง 85 ศพ และ หน่วยงานของรัฐบาลพยายามหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงยอดผู้เสียชีวิต โดยการรายงานเฉพาะช่วงเวลา เช่น จำนวนคนตาย 53 คน ระหว่างวันที่ 14 จนถึงปัจจุบัน และ 29 คน เสียชีวิตเมื่อ 10 เมษา เป็นต้น

ผมเห็นนายกรัฐมนตรี พร่ำบอกว่า จะสมานฉันท์ แต่ลูกน้องทุกคนยังคอยใส่ความประชาชนอยู่สม่ำเสมอ

วันนี้ผมเห็น ประกาศยกเลิก การห้ามออกนอกบ้านหลังสามทุ่มในพัทยา เพราะอะไรหรือครับ ถ้ามองในแง่ลบคือ รัฐบาลอาจจะโดนพ่อค้าแม่ค้า นักท่องเที่ยว นักธุรกิจท่องเที่ยวเกลียดชังเอาได้ ถ้ามองโลกในแง่ดีคือ นายกเมืองพัทยาฝีมือดีกว่านายกรัฐมนตรี เรียกได้ว่า เคลียร์ปัญหารวดเร็วทันใจ

วันนี้รัฐบาลพยายามทำให้ผมลืมเรื่องที่ไม่ดีงามต่างๆของรัฐบาล แต่ผมไม่มีวันลืม และผมจะจำเอาไว้จนกว่า สังคมไทยจะเอาคนชั่วมาลงโทษให้ได้ ผมอยากเตือนความจำของตนเองไว้ดังนี้ครับ

รัฐบาลมีที่มาไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และ ไม่สง่างาม คือ รัฐบาล ปชป. ไม่เคยชนะการเลือกตั้ง รัฐบาล ปชป. ไปร่วมมือกับพรรคการเมืองที่ไม่เคยมีคนไทยคนใด เคยเลือกมาก่อน เข้ามาร่วมรัฐบาล

รัฐบาลหวงอำนาจ ยังไม่ยอมแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่เคยสัญญาก่อนเลือกตั้งว่า จะแก้ จะแก้ จนในที่สุดความจริงก็ปรากฏว่า รัฐบาล ปชป. ต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญเผด็จการ

รัฐบาลกู้มาโกง ชุดนี้ เป็นรัฐบาลที่มีการทุจริต ทั้งในส่วนของพรรคแกนนำ และ พรรคร่วมรัฐบาล

รัฐบาลสองมาตรฐานอภิสิทธิ์ชน ยังคงไม่ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อเปรียบเทียบ กรณีของพันธมิตร กับ นปช.

รัฐบาลไร้ความสามารถ ที่จะบริหารราชการแผ่นดิน เอาใจทหารเกินจำเป็น ใช้งบประมาณทหารสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จากเงินในอนาคตของพี่น้องประชาชนชาวไทย

รัฐบาลไม่เคารพสิทธิในการสื่อสารของประชาชนคนไทย

รัฐบาลใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงคราม เข้าปราบปราม ปิดล้อม จนเป็นเหตุแห่งความสูญเสียทั้งหมดทั้งสิ้น

รัฐบาลไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทย

เหล่านี้จะถูกจดจำ และ รัฐบาลจะได้รับบทเรียนในที่สุด เพราะถึงแม้นว่า ประชาชนเขาจะไล่คุณไม่สำเร็จในตอนนี้ แต่

พวกเขา สามารถเกลียดคุณมากขึ้นได้

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประชาชนกำลังถูกเหยียบ มาร์คต้องหยุดฆ่า แล้วยุบสภาทันที


“ยืดเวลากฎอัยการศึกออกไปอีกสามวัน ก็คงไม่ช่วยให้สถานการณ์ สงบลงได้” และ “ใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามเข้ากวาดล้าง ก็คงไม่สามารถหยุดเหตุการณ์ความไม่สงบลงได้” นี่คือความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ในวันนี้

รัฐบาลกล่าวหาว่า คนเสื้อแดงที่โกรธ เป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง เป็นผู้ก่อการร้ายที่ได้แสดงตัวแล้ว เหมือนที่รัฐบาลเคยบอกไว้แล้ว ส่วนคนเสื้อแดงกล่าวหาว่า รัฐบาลร่วมมือกับเด็กเนวิน สร้างสถานการณ์ใส่ร้ายคนเสื้อแดง

รัฐบาลยังคงเผยแพร่สื่อด้านเดียว ท่าทีของรัฐบาลยังโทษคนเสื้อแดงอย่างหนักหน่วง ตัวแทนของรัฐบาลแสดงออกต่อสังคมอย่างมั่นใจว่า คนเสื้อแดงคือผู้ก่อการร้าย ผู้ผิด ผู้หลงผิด เหมือนเป็นสิ่งไร้ค่าที่รัฐบาล “ฆ่า” ได้ตามใจชอบ เช่น ไก่อู เช่น ปณิธาน เช่น เทพไท เป็นต้น เหล่านี้โดยไม่ได้รอพิสูจน์ความจริง

การยืดเวลากฎอัยการศึกออกไปอีกสามวัน ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ประเด็นสำคัญที่จะหยุดความรุนแรงที่เกิดขึ้น อยู่ที่การตัดสินใจของรัฐบาล เท่านั้น

หากรัฐบาลใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามเข้าปราบปรามอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่จะตามมาคือ การพัฒนาการของความรุนแรงไปสู่ สงครามกองโจร หน่วยรบขนาดเล็กเคลื่อนที่เร็วที่รู้ทิศทางใน กทม. เป็นอย่างดี หากเป็นเช่นนี้รัฐบาลกำลัง บอกกับประชาชนว่า “ไม่เป็นไร ความเสียหายที่เกิดเป็นเรื่องจำเป็น”

หากรับบาลใช้การเมืองเข้าแก้ไขสถานการณ์ โดยรัฐบาลตัดสินใจ “ลาออก และ จัดให้มีการเลือกตั้งในทันที” อย่างนี้ แล้ว ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในส่วนที่เป็นเหตุจากคนเสื้อแดง ก็ เชื่อแน่ว่า ความรุนแรงจะทุเลาลง ถ้ามีเหตุเกิด ก็จะเหลือในส่วนที่เป็นผู้แอบอ้างเสื้อแดง หรือ กลุ่มของรัฐบาลที่สร้างสถานการณ์เอง

ในสถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลกำลังสร้างความเกลียดชังให้ประชาชนคนทั่วไปที่ไม่เข้าใจในสถานการณ์ ให้โกรธเกลียด เหยียดหยาม คนเสื้อแดง ทั้งๆที่ อภิสิทธิ์เองก็ ยอมรับมาตลอดว่า ผู้ชุมนุมเสื้อแดงส่วนใหญ่มาเพื่ออุดมการณ์ มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ชอบความรุนแรง ท่าทีเหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกมาจากรัฐบาลอย่างชัดเจน

มันเป็นเรื่องของการแย่งชิงมวลชน ซึ่งแน่นอนว่า ส่งครามสื่อ จบลงด้วยการที่รัฐบาลเป็นผู้ชนะ เหนือประชาชนผู้ชุมนุม ชัยชนะที่รับบาลสามารถยั่วยุมวลชนบางส่วนให้ระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ชัยชนะครั้งนี้ของรัฐบาล มันเป็นการเหยียบย่ำ ย้ำรอยแผล ตอกย้ำความเจ็บช้ำน้ำใจที่มีต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ มันเป็นแผลร้าวลึกของสังคมที่รัฐบาลจะไม่มีวันได้รับการให้อภัย

มันจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลควรเร่ง สำนึก ให้ได้ ในความผิดชอบชั่วดี ที่เกิดจากความผิดพลาดของรัฐบาล การออกทีวีเพื่อขอโทษ จะไม่ทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายแน่นอน และ ผลดีที่สุดคือ ลดความสุ่มเสี่ยงที่จะไปเร่งแปลงความโกรธแค้นให้เป็นความรุนแรง

ถึงเวลาแล้ว ที่ อภิสิทธิ์ ควรตัดสินใจ ยุบสภา แล้วจัดการเลือกตั้งทันที

อย่างน้อย รัฐบาลจะสามารถลดระดับความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นลงได้

ด้วยความปรารถนาดีต่อสังคม

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รัฐบาล มีแค่สองทางเลือก เท่านั้น เพราะพวกเรา จะเอาคืน


ผมเข้าใจว่าพี่น้องประชาชนกำลังรู้สึกผิดหวัง รู้สึกโกรธแค้น และ เสียใจ แต่ผมยังยืนยันว่าการตัดสินใจมอบตัวของแกนนำในวันนี้ เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของความปลอดภัยของประชาชนผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์

เวลา 13.27 จตุพร ประกาศ มอบตัวเพื่อรักษาชีวิตของพี่น้องประชาชน ผมได้ยินเสียงสะอื้นของ จตุพร ผมรู้สึกได้ว่ามัน ยากมาก ที่จะต้องพูดอะไรแบบนี้ออกมา

ผมได้ยินเสียงโห่ร้อง ไม่เห็นด้วย กับการตัดสินใจของแกนนำ และ นาทีนี้ เท่าที่ผมทราบ การชุมนุมในสถานที่อื่นๆ ยังไม่ได้ยุติลง นาทีนี้ มันหนักมาก ประชาชนเสียชีวิตกว่า 80 ศพแล้ว ผมยังยืนยันว่า “เราไม่ได้แพ้”

เราได้ร่วมกันแสดงให้โลกทั้งโลก ได้เห็นว่า นปช. เห็นความสำคัญของพี่น้องประชาชน มากกว่า รัฐบาล ที่นำกองกำลังติดอาวุธ สงครามเข้าปฏิบัติการกับพี่น้องประชาชน และ ยังเป็นยุทธศาสตร์การต่อสู้ที่ดี เมื่อแกนนำถูกจับกุมแล้ว หากประชาชนโดยทั่วไปยังชุมนุมอยู่ ก็ แสดงให้เห็นว่า ข้อเท็จจริงนั้น ประชาชนมาร่วมต่อสู้ด้วยตนเอง โดยความตั้งใจของตนเอง


วันนี้ เราปฏิเสธ ไม่ได้ว่า ความโกรธแค้น เกลียดชัง ที่คนไทยจำนวนมากมีต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน จะร้าวลึกลงไปอีก และ ยากมากที่จะทำให้เกิดบรรยากาศ สมานฉันท์อีก

ผมเอง มองว่า สถานการณ์ จะเดินต่อไปได้ในสองรูปแบบ ขึ้นอยู่กับรัฐบาล

รูปแบบแรก หากรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าใช้กำลังทหาร ติดอาวุธสงครามเข้าปราบปราม การชุมนุมรอบนอกจะขยายตัวขึ้น จนในที่สุด การต่อสู้แบบสงครามกองโจรจะขยายตัวออกไป อาจจะพัฒนาไปถึงขั้น ระเบิดพลีชีพ เพื่อสังหารบุคคลในรัฐบาล

รูปแบบที่สอง หากรัฐบาลตัดสินใจดำเนินการ เจรจา ให้แกนนำที่มอบตัวขอร้องให้ ประชาชนที่ชุมนุมในจุดอื่นๆ ยอมยุติการชุมนุม รัฐบาลจะสามารถ หยุด ความรุนแรงและความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น

ผมยังเห็นว่า ผู้นำไทย คนปัจจุบันนั้น มี วุฒิภาวะต่ำ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า สถานการณ์จะดำเนินการไปในรูปแบบแรกที่ผมกล่าวไปแล้ว

สิ่งที่พี่น้องประชาชน ผู้ชุมนุม จะได้เผชิญต่อไป คือ การที่พี่น้องผู้ชุมนุม จะถูกดูถูกเหยียดหยาม จากคนที่สนับสนุนฝ่ายรัฐบาล และ ประชาชนทั่วไปที่ได้รับสื่อฝ่ายเดียว

เพราะฉะนั้น ผมจึงขอให้พี่น้องชาวไซเบอร์ได้เตรียมตัวเตรียมใจ เก็บความผิดหวัง ความโกรธเกลียด ให้เป็นพลังในการต่อสู้ต่อไป

ผมยังเชื่อว่า ความยุติธรรม ความเท่าเทียมกัน จะต้องเกิดขึ้นในสังคมไทย

เราจะยังคงเดินหน้าสู้ต่อไปตามแนวทางสันติวิธี

เราจะเอาคืน ความยุติธรรม ความเท่าเทียมกัน และ ประชาธิปไตย ที่แท้จริง

พวกเรา จะเอาคืน

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ทำไมประชาชนเชื่อว่ารัฐบาลเป็น “ผู้ฆ่า” และ ก้าวต่อยังไง ให้รัฐบาล “หยุดฆ่า”



ทำไมผมถึงให้น้ำหนักว่า รัฐบาลเป็นฝ่าย “ผู้ฆ่า” และ ทำไมผมถึงให้น้ำหนักว่า นปช. เป็นฝ่าย “ผู้ถูกฆ่า” นั่นเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสายตาประชาชนโดยทั่วกัน

ประเด็นแรก ที่เราเห็นกันชัดเจนคือ เจ้าหน้าที่รัฐ พกพาอาวุธสงครามและกระสุนจริงจำนวนมาก และยังได้รับอนุญาตให้ยิงกระสุนจริงอีกด้วย

ประเด็นที่สอง ลักษณะของ “ผู้ถูกฆ่า” ปรากฏว่าเป็นทหาร 1 ประชาชน 34 คน จากตัวเลขที่ได้รับการยืนยันล่าสุด และ ประชาชนทั้ง 34 คนที่ตายไปแล้วนั้น ไม่ได้พบว่ามีอาวุธสงคราม หรือ ถูกแจ้งความว่าเป็นผู้ก่อการร้ายแม้แต่คนเดียว

ประเด็นที่สาม ปฏิบัติการ “กระชับพื้นที่” ของรัฐบาลนั้น เป็นปฏิบัติการทางทหารที่ใช้กับศัตรูผู้รุกราน กล่าวคือ การปฏิบัติการ เริ่มด้วยการปิดล้อมพื้นที่ ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอาหาร และ ตั้งเขตสังหาร (Life Firing Zone) หากประชาชนที่บริสุทธิ์ เดินเข้าไปให้ถือว่าไม่บริสุทธิ์ ให้ใช้กระสุนจริงยิงได้ทันที ทั้งยังมีอาวุธสังหารระยะไกล คือปืนที่ใช้ในการสงครามติดลำกล้อง ซึ่งปฏิบัติการในลักษณะนี้ มีน้ำหนักไปในทางล้อมปราบ มากกว่า ป้องกันความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน เห็นได้ชัดว่า การตัดเส้นทางเสบียงไม่มีความจำเป็น และ การตัดไฟเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดความเสียหายได้ง่าย ในขณะที่การเพิ่มแสงไฟในมุมมืดสามารถช่วยระวังภัยได้ดี

ประเด็นที่สี่ คือ “ท่าทีของรัฐบาล” ที่ตอบสนองต่อประชาชน และ ผู้ชุมนุม แม้แต่การ “เจรจา-หยุดยิง” ก็ต้องมีข้อแม้ เพราะถ้าไม่มีข้อแม้ แล้ว ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตนเองจะเพลี่ยงพล้ำเสียท่า ให้ฝ่ายตรงข้าม เมื่อ นปช. เสนอการเจรจาหยุดยิง แต่ ขอให้รัฐบาล ถอนทหารก่อน เมื่อ รัฐบาล ก็คิดที่จะเจรจาหยุดยิง แต่ ขอให้ นปช. สลายการชุมนุมก่อน เป็นไปได้หรือไม่ ที่ ทั้งสองฝ่ายยอมพบกันครึ่งทาง คือ win-win ทั้งคู่ เช่น “เจรจาหยุดยิง” ทันที โดยไม่ต้อง ถอนทหาร และ ไม่ต้องสลายการชุมนุม ตอนนี้ท่าทีของ นปช. ชัดเจน คือ ยอมให้ วุฒิสภา เป็นคนกลางในการเจรจา แต่ รัฐบาลยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจน

ประเด็นที่ห้า คือ ท่าทีของรัฐบาล ที่มีต่อ “การปฏิบัติ” ภารกิจของสื่อ และ หน่วยกู้ภัย รวมไปถึง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งๆที่ สื่อ สามารถช่วยเจ้าหน้าที่ในการเก็บหลักฐาน “ผู้ก่อการร้าย” ส่วน หน่วยกู้ภัย สามารถช่วยเจ้าหน้าที่ในการยับยั้ง วิบัติภัยต่างๆ เช่น ช่วยดับไฟ ช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น แก่ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถช่วยในเรื่องการเจรจาต่อรองกับผู้ชุมนุมแนวหน้าที่ต้องปะทะกับเจ้าหน้าที่ รัฐบาลที่ไม่ใช่ฆาตกร ควรอาสาคุ้มครองสื่อ ให้สื่อได้อยู่แถวหลังถัดจากเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อให้มีหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ในปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ช่วยทหารลดข้อครหา

ประเด็นที่หก รัฐบาลออกแถลงการณ์ต่างๆ โดยไม่เปิดโอกาสให้สังคมได้ตั้งคำถาม คือ แถลงเสร็จก็จบ ห้ามไม่ให้มีข้อสงสัยใดๆ การกระทำเช่นนี้ สร้างข้อสงสัยได้มาก สร้างข้อครหาได้มาก หากรัฐบาลบริสุทธิ์ใจ ก็ สมควรให้มีการตั้งคำถามสดออกทีวี หลังจากที่มีการแถลงข่าว เสร็จทุกครั้ง

ประเด็นที่เจ็ด รัฐบาลไม่ได้แสดงความมุ่งมั่น และ จัดลำดับความสำคัญให้ “การจับกุมผู้ก่อการร้าย” หรือผู้ก่อเหตุร้าย เป็นอันดับแรก แต่รัฐบาลกลับให้น้ำหนัก “การยุติการชุมนุมของ นปช.” เป็นจุดมุ่งหมายที่มีความสำคัญอันดับแรก ทั้งๆที่รัฐบาลควรจะมุ่งเป้าไปที่การแยกผู้ก่อการร้าย ออกจากผู้ชุมนุม ที่แม้แต่ อภิสิทธิ์ เองก็ยอมรับว่ามีประชาชนผู้มาด้วยอุดมการณ์ อยู่ในที่ชุมนุม รัฐบาลควรเร่งเปิดเผยออกมาว่า ใครคือผู้ต้องสงสัยว่า เป็นผู้ก่อการร้าย ใช้หน่วยข่าวกรองที่เข้าออกสถานที่ชุมนุมได้อย่างอิสระตลอดมา ในการสืบสวน ว่าใคร กลุ่มไหน ในการชุมนุมเป็นผู้ต้องสงสัยในการก่อการร้าย เพื่อที่จะได้ลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป

ทั้งเจ็ดประเด็น ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลน่าจะเป็น ผู้ฆ่า ทั้ง 34 ศพ ที่เสียชีวิตไป และมีน้ำหนักมาก ว่า คนที่ตายไปเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการอยู่

ตอนนี้ต้องฝากความหวังไว้ที่ สังคมไทยทั้งประเทศครับ เราจะปล่อยให้ มีการตายกัน 500 ศพ อย่างที่ รัฐบาลจัดโควตากันไว้หรือไม่ ถ้าสังคมยินดีที่จะเห็นศพเพิ่มอีก 4-500 ศพ เราก็ไม่สามารถ ทำอะไรได้ครับ

แต่ผมมองว่า การพัฒนาของคนไทยที่ผ่านมา ได้สร้างคนไทยจำนวนมากให้เป็นอารยะชนไปแล้ว นั่นคือ ผมมั่นใจว่า สังคมไทยจะเริ่มพูดเสียงดังขึ้นแล้วว่า “หยุดฆ่า” เดี๋ยวนี้


ตอนนี้ ทางออกคือ ต้องอาศัยกระแสสังคม บีบให้ รัฐบาล “ยอมเจรจา”

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ฆ่าประชาชน ฆ่าประชาธิปไตย ฆ่ารัฐไทย “ประเทศไทยโชคดี ที่มีนายกชื่อ อภิสิทธิ์”




เมื่ออำนาจรัฐดูแคลน “สันติวิธี” จะมีหนทางออกใดกล้าเสนอตัวเพื่อยุติความสูญเสียได้อีกเล่า

เมื่อรัฐบาลปฏิเสธ “เจรจา-หยุดยิง” จะมีหนทางใดนอกเสียจาก ยอมตาย เพื่อปกป้องชีวิตประชาชน

จากปลายกระบอกปืนถึงศีรษะ ผู้มีชีวาวาย ต้องตายเพราะการต่อสู้ทางการเมือง นับจนถึงรายงานข่าวล่าสุด ก็ 62 ชีวิต ที่ต้องสังเวย ตั้งแต่ 10 เมษายน และ รัฐบาลคงยังสบายๆเพราะตั้งเป้าไว้ว่า สังคมไทยยอมรับได้ที่ 500 ศพ

หลากหลาย ปราชญ์ เสนอว่า อย่าเพิ่งหาคนผิด อย่าเพิ่งเร่งโทษใคร ให้รีบเร่งลดความเสียหายต่อชีวิตประชาชนให้เร็วที่สุด

สังคมออนไลน์ ก็แตกแยก “คุณธรรม”, “จริยะธรรม” และ “มนุษยธรรม” ไม่ต้องพูดถึง กองเชียร์ เสื้อเหลือง กองเชียร์รัฐบาล หัวเราะล้อเลียน ที่ “ไพร่แดง” ตาย สังคมออนไลน์ตกต่ำ ส่วน ไพร่แดงในโลกไซเบอร์ ก็ ไม่มีพื้นที่ระบาย

รัฐบาลปิดกั้นการสื่อสารของ ผู้คัดค้านทางการเมือง สื่อกระบอกเสียงถูก สกัดทุกวิถีทาง สื่อกระแสหลักถูกควบคุมกดดัน รับบาลบีบช่องทางระบายอารมณ์ และ ความรู้สึก รัฐบาลกดทับเสียงเรียกร้อง จนสังคมไม่ได้ยิน บีบให้ประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐบาลต้องลงสู่ท้องถนน

รัฐบาลใช้กำลังทหารติดอาวุธสงคราม บีบคั้น กดดัน บังคับ ไม่ให้การชุมนุมของประชาชนดำเนินการต่อไปได้อย่างสันติ

รัฐบาลกล่าวหาประชาชนว่าเป็น ผู้ก่อการร้าย เป็น ขบวนการล้มเจ้า เป็นกลุ่มคนที่รัฐบาลจะสังหารได้โดยไม่มีความผิด

สังคมไทยกำลังอนุญาตให้ ฆ่า กันเองโดยไม่มีการท้วงติงจาก องค์กรสิทธิมนุษยชนไทย สังคมกำลังอนุญาตให้ ไทยฆ่าไทย โดยไม่พูดจาตำหนิติเตียน หรือ ห้าม ผู้มีอำนาจในแผ่นดิน

การสั่งทหารที่ติดอาวุธสงครามให้มาปฏิบัติการ คือ การสั่ง
“ฆ่าคนไทย”

การสั่งปิดกั้น กดดันสื่อ การสื่อสาร การใช้สื่อด้านเดียว คือ การ “ฆ่าประชาธิปไตย”

การใช้เส้นสาย ปิดปาก องค์กรสิทธิมนุษยชน ควบคุมรัฐสภาฯ ข่มขู่พรรคร่วม ดึงสถาบันเบื้องสูง ลงมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง คือ การ
“ฆ่ารัฐไทย”

รัฐบาลปัจจุบัน คือ ผลผลิตของสังคมอำมาตย์ไทย